วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561
((แชร์แล้วเฮงๆ)) เคล็ดลับเสริมดวงเพิ่มโชคลาภจากสิ่งรอบตัว พารวย
ถ้าจะพูดถึงเรื่องเสริมดวงบางคนเข้าใจว่าต้องเป็นการเข้าวัดทำบุญแต่จริงๆ แล้วมีวิธีอีกมากมายที่จะช่วยเสริมดวงให้ดีขึ้นมาได้รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ นำมาฝากกันก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเสริมดวงได้โดยเฉพาะเรื่องของดวงการเงิน ซึ่งสามารถเสริมดวงได้จากสิ่งของรอบตัวที่คุณคุ้นเคยและหาได้ง่ายๆ สิ่งของที่ว่านี้คืออะไรและวิธีการเสริมดวงทำได้อย่างไรไปดูกันเลยค่ะ
กระเป๋าสตางค์
เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ใบใหม่เสมอในวันขึ้นปีใหม่พร้อมใส่เงินขวัญถุงให้ได้จำนวนเป็นเลข 9 เช่น 90, 900 โดยใส่ไว้ในกระเป๋าสักหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อเอาเคล็ดเอาฤกษ์ ให้กระเป๋าใบนั้นเป็นกระเป๋าที่ดีเรียกเงินเรียกทองเข้ามาได้มากๆ มีเก็บมากกว่าจะต้องควักออกไป
และทุกครั้งที่รับเงินสดเข้ามาควรนำเงินมาใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน บางคนอาจจะยังคงปล่อยเงินไว้ในซองแล้วก็นำไปฝากธนาคารซึ่งถ้าจะเอาเคล็ดเรียกโชคกันจริงๆ ตามความเชื่อโบราณก็ควรเอาเงินเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ก่อน
พระสีวลี
หาโอกาสไปกราบไหว้พระสีวลีที่วัดใดก็ได้ที่คุณสะดวก พระสีวลีเป็นเอตทัคคะโชคลาภ ท่านเป็น 1 ใน 80 ศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า เมื่อไปกราบไหว้ขอพรจากพระสีวลี ชีวิตจะมีโชคดีขึ้นและมีความราบรื่นก้าวหน้า มีเงินมีทองเพิ่มพูนมากขึ้น
ยักษ์และราหู
ไม่ควรมีรูปภาพหรือรูปปั้นยักษ์และราหูประดับตกแต่งในบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่เรื่องร้อนๆ ขาดโชคขาดลาภ
พลังของวิญญาน
อย่านำโปสเตอร์, รูปภาพหนังผี คนบาดเจ็บจากนิตยสารที่มีแต่ความน่ากลัวมาติดผนังบ้าน หรือรูปคนตายมาติดประดับไว้ที่ห้อง (ยกเว้นภาพถ่ายบุคคลในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว) ทางที่ดีหลีกเลี่ยงภาพน่ากลัว หรือดูดุร้ายเพราะล้วนเป็นแหล่งเรียกคลื่นพลังงานที่ไม่เป็นมงคล จะทำให้โชคลาภหดหาย คนในบ้านจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น การนำภาพมาติดผนังหรือประดับบ้านควรเลือกภาพที่ดูสวยงามน่ามองมาติดจะดีกว่า
เตียงนอนเสริมดวง
เตียงนอน
อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับผนังห้องน้ำ เพราะจะทำให้เสื่อมโชคอับโชค อย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงเล็งตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้าย
สุนัขแมวจรจัด
แบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัขหรือแมวจรจัดที่หิวโหยบ้าง หรือในวันฝนตกก็อนุญาตให้สัตว์จรจัดเข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน การทำบุญทำทานกับสัตว์นั้นให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเราได้อย่างมหาศาล
ครัว
ดูแลปัดกวาดเช็ดถูและจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาดอยู่เสมออย่าปล่อยให้ครัวสกปรกเพราะ ครัวเป็นขุมพลังของบ้าน บ้านที่ปล่อยให้ครัวสกปรกจะอับโชคเงินทองถ้าหามาได้ก็ต้องจ่ายออกไป
ผ้าเช็ดหน้า
อย่าให้ของขวัญคนรักหรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดีถือเป็นของขวัญอับโชคมอบให้กันแล้วจะมีเรื่องต้องพลัดพรากจากกันหรือมีเรื่องต้องห่างเหินกันไป (โบราณท่านว่าหากใครให้ผ้าเช็ดหน้าเป็นของขวัญ มีอันต้องจากลา หรือมีเรื่องที่ทำให้เสียใจจนต้องนำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาเช็ดน้ำตา)
กระจก
ขัดถูกระจกในบ้านให้สะอาดใสอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้กระจกขุ่นมัวเป็นประจำดวงชะตาของคนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรไม่ขึ้น
วันบริสุทธิ์
วันที่ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก คือ วันโกน, วันพระ, วันเกิด และวันเข้าพรรษา ตามธรรมเนียมโบราณนิยมปฏิบัติกันเช่นนี้ เพื่อให้เทวดาคุ้มครองรักษาตลอดไป
แหวนเสริมดวง
เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิดหรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต
ถ้าอยากเสริมดวงการเงิน - ควรสวมแหวนทอง , แหวนเงิน , แหวนหยก และแหวนหัวพลอยสีที่ถูกโฉลกกับตัวคุณ (คลิกที่นี่!! เพื่อดู ข้อมูลพลอยที่ถูกโฉลกตามวันเกิด)
ถ้าอยากเสริมดวงความรัก -ให้สวมแหวนรูปหัวใจ , รูปดาว , แหวนเพชร , เทอร์ควอยส์ก็ได้
ส่วนแหวนลูกปัดและหินสีต่างๆ จะช่วยเสริมเสน่ห์ เป็นที่รักของคนรอบข้าง
การสวมแหวน
สวมแหวนนิ้วกลาง ข้างขวา - เสริมดวงการเงินและบารมี
สวมแหวนนิ้วนาง หรือ นิ้วก้อย - เสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก
ทำบุญโลงศพ
ไปที่มูลนิธิใกล้บ้าน ทำบุญบริจาคเงินร่วมกันซื้อโลงศพให้ศพอนาถาที่ไร้ญาติ การทำบุญโลงศพจะช่วยเสริมดวงชะตาให้กล้าแข็ง เหมาะสำหรับช่วงดวงอ่อนและมีทุกข์มีเคราะห์
พระพรหมศักดิ์สิทธิ์
พระพรหมศักดิ์สิทธิ์
หาโอกาสไปกราบไหว้พระพรหมสักครั้งจะเป็นศาลพระพรหมแห่งใดก็ได้ทั้งนั้นตามที่คุณสะดวก พระพรหมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวขวัญกันมากว่าบนบานอธิษฐานขออะไรมักได้ดังปรารถนา ด้วยว่าท่านเป็นเทพแห่งความสำเร็จนั่นเองดังนั้นหากมีโอกาสได้ไปกราบไหว้ขอพรถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
หิ้งพระ
หิ้งพระหรือหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพต่างๆ หรือรัชกาลที่ 5, ในหลวงของเราเมื่อตั้งหิ้งบูชาแล้วจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นเปลี่ยนดอกไม้, พวงมาลัย, ถวายน้ำให้สะอาด ถ้าปล่อยให้หิ้งสกปรกมีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมดบ้านนั้นจะมีแต่ความเสื่อมถอย โชคลาภหดหายยากที่จะเจริญรุ่งเรือง
ไข่และส้ม
ในบ้านเรือนควรมีไข่และมีส้มไว้ในตะกร้าเสมออย่าให้ขาด เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป ไข่หรือส้มเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และความโชคดีอ
ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561
((แชร์เลย)) วิธีการเลี้ยงกบ ยังไงให้ประสบความสำเร็จ
ระยะเวลาในการเลี้ยง
ใช้เวลา 3.5-4 เดือน ตั้งแต่ระยะฟักออกจากไข่จนถึงจับจำหน่ายได้กบขนาด 6-7 ตัวต่อกิโลกรัม
สถานที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงกบ
ควรอยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อในการดูแล
อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีคุณภาพดี เพียงพอตลอดการเลี้ยง
เป็นพื้นที่สูงหรือที่ดอนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม
ห่างไกลจากแหล่งชุมชนหรือบริเวณที่มีเสียงอึกทึกรบกวน
อยู่ใกล้แหล่งจำหน่ายอาหารกบ
สะดวกในการจับ
การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์
เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด
สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับ บ่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 2/3 ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ
บ่อเลี้ยงกบ
โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อบ่อ เลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลืองขนาดบ่อมีหลายขนาด เช่น 3x4 , 3.2x4 , 4x4 , 4x5 , 4x6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบ
ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอช) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้
ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่ หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาว
เพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้งหนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร
ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาล
ควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้
ลักษณะกบตัวผู้และตัวเมียเมื่อดูจากภายนอก
ตัวผู้ มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย มีถุงเสียงใต้คาง สีสันบนตัวจะเหลืองกว่าตัวเมีย
ตัวเมีย มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ไม่มีถุงเสียงใต้คาง ตัวเมียที่ไข่แก่ท้องจะโป่งนูนเห็นได้ชัด
คัดจากกบขุนหรือซื้อจากฟาร์มที่น่าเชื่อถือ
ลักษณะกบพ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมผสมพันธุ์
แม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป และไข่จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่ออายุ 1 ปี โดยมีน้ำหนักตัว 330 กรัม ขึ้นไป
หรือขนาด 3 ตัวต่อกิโลกรัม ไข่ต้องแก่จัด มีสีดำ ข้างลำตัวทั้งสองด้านเมื่อเอามือลูบจะสาก ท้องค่อนข้างใหพ่อพันธุ์ จะมีขนาดเล็กกว่าแม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป โดยมีน้ำหนักตัว 200-250 กรัม หรือ 4-5 ตัวต่อกิโลกรัม
จะต้องคึก ดูได้จากเมื่อสอดนิ้วมือเข้าระหว่างขาหน้าทั้งสอง พ่อพันธุ์จะรัดแน่น
การเลี้ยงและการจัดการกบพ่อแม่พันธุ์
บ่อที่ใช้เลี้ยงเป็นบ่อสี่เหลี่ยมขนาด 1x1 , 2x2 , 2x3 เมตร สูง 1.2 เมตร หรือ บ่อซีเมนต์กลม
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 หรือ 1.5 เมตร มีวัสดุปิดด้านบน เช่น กระเบื้องมุงหลังคา เพื่อป้องกันไม่ให้กบตกใจ
เครียดหรือโดนแดด ในขณะเดียวกันก็สามารถเปิดให้ได้รับแสงแดดได้ด้วย
ต้องเลี้ยงแยกเพศ แบ่งเป็นบ่อแม่พันธุ์และบ่อพ่อพันธุ์ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จึงนำมารวมกันเพื่อให้จับคู่
ไม่ควรเลี้ยงกบหนาแน่นเกินไป อัตราการปล่อยที่เหมาะสม คือ 20 ตัวต่อตารางเมตร
มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมอ และควบคุมไม่ให้น้ำเสีย
ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เมื่อใกล้ฤดูผสมพันธุ์ให้ลดปริมาณอาหารลง
มีการให้วิตามินและแร่ธาตุผสมอาหารเพื่อบำรุงระบบสืบพันธุ์
สภาวะแวดล้อมกับการผสมพันธุ์กบ
ในธรรมฮาติกบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูฝน กบจะวางไข่ในบริเวณที่ มีน้ำตื้น มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นอยู่อย่างหนา
แน่นพอสมควร ปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่อการ ผสมพันธุ์ของกบได้แก่
1. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการผสมพันธุ์และการวางไข่ของ กบต้องไม่ต่ำกว่า 25 องศาเชลเชียส
และไม่ควรมีอุณหภูมิที่สูงเกินไป โดยปกติ อุณหภูมิในประเทศไทยจะมีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว
2. แสงสว่าง เมื่อกบไข่แล้วหากแสงสว่างไม่เพียงพอ แม่กบจะไม่ ยอมผละจากไข่จะยังคงเฝ้าและดูแลไข่ของตน
และในกรณีของการฟักไข่ ไข่ที่อยู่ในที่ร่มแสงแดดส่องไม่ถึงก็จะไม่ค่อยฟักออกเป็นตัวเช่นกัน
3. ความชื้น โดยสัญชาตญาณกบจะไม่วางไข่ในที่แล้ง กบจะไข่ ภายหลังฝนตาหรือระหว่างที่ฝนตก
ดังนั้นในการกระตุ้นให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่โดยวิธีการฉีดโปรยให้เหมือนกับมีฝนตก
จะช่วยให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่ดีขั้น
4. หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 2-3 วัน ไข่กบที่จมอยู่ก้นบ่อก็จะค่อยๆลอยขึ้นพร้อม ๆ กัน มีวุ้นหุ้มโดยรอบ
เพื่อช่วยป้องกันความร้อน และช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการฟักเป็นตัว
การเพาะพันธุ์
เติมน้ำในบ่อเพาะพันธุ์ ให้ได้ระดับ 5-7 เซนติเมตรหรือท่วมหลังกบ
ใส่พืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักตบ ต้นหญ้า ใบตำลึง เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ
ใช้เวลา 3.5-4 เดือน ตั้งแต่ระยะฟักออกจากไข่จนถึงจับจำหน่ายได้กบขนาด 6-7 ตัวต่อกิโลกรัม
สถานที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงกบ
ควรอยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อในการดูแล
อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีคุณภาพดี เพียงพอตลอดการเลี้ยง
เป็นพื้นที่สูงหรือที่ดอนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม
ห่างไกลจากแหล่งชุมชนหรือบริเวณที่มีเสียงอึกทึกรบกวน
อยู่ใกล้แหล่งจำหน่ายอาหารกบ
สะดวกในการจับ
การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์
เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด
สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับ บ่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 2/3 ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ
บ่อเลี้ยงกบ
โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อบ่อ เลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลืองขนาดบ่อมีหลายขนาด เช่น 3x4 , 3.2x4 , 4x4 , 4x5 , 4x6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบ
ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอช) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้
ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่ หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาว
เพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้งหนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร
ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาล
ควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้
ลักษณะกบตัวผู้และตัวเมียเมื่อดูจากภายนอก
ตัวผู้ มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย มีถุงเสียงใต้คาง สีสันบนตัวจะเหลืองกว่าตัวเมีย
ตัวเมีย มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ไม่มีถุงเสียงใต้คาง ตัวเมียที่ไข่แก่ท้องจะโป่งนูนเห็นได้ชัด
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
ควรเป็นกบที่มีตัวเหลือง ท้องขาว ตัวใหญ่ โตเร็วคัดจากกบขุนหรือซื้อจากฟาร์มที่น่าเชื่อถือ
ลักษณะกบพ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมผสมพันธุ์
แม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป และไข่จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่ออายุ 1 ปี โดยมีน้ำหนักตัว 330 กรัม ขึ้นไป
หรือขนาด 3 ตัวต่อกิโลกรัม ไข่ต้องแก่จัด มีสีดำ ข้างลำตัวทั้งสองด้านเมื่อเอามือลูบจะสาก ท้องค่อนข้างใหพ่อพันธุ์ จะมีขนาดเล็กกว่าแม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป โดยมีน้ำหนักตัว 200-250 กรัม หรือ 4-5 ตัวต่อกิโลกรัม
จะต้องคึก ดูได้จากเมื่อสอดนิ้วมือเข้าระหว่างขาหน้าทั้งสอง พ่อพันธุ์จะรัดแน่น
การเลี้ยงและการจัดการกบพ่อแม่พันธุ์
บ่อที่ใช้เลี้ยงเป็นบ่อสี่เหลี่ยมขนาด 1x1 , 2x2 , 2x3 เมตร สูง 1.2 เมตร หรือ บ่อซีเมนต์กลม
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 หรือ 1.5 เมตร มีวัสดุปิดด้านบน เช่น กระเบื้องมุงหลังคา เพื่อป้องกันไม่ให้กบตกใจ
เครียดหรือโดนแดด ในขณะเดียวกันก็สามารถเปิดให้ได้รับแสงแดดได้ด้วย
ต้องเลี้ยงแยกเพศ แบ่งเป็นบ่อแม่พันธุ์และบ่อพ่อพันธุ์ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จึงนำมารวมกันเพื่อให้จับคู่
ไม่ควรเลี้ยงกบหนาแน่นเกินไป อัตราการปล่อยที่เหมาะสม คือ 20 ตัวต่อตารางเมตร
มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมอ และควบคุมไม่ให้น้ำเสีย
ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เมื่อใกล้ฤดูผสมพันธุ์ให้ลดปริมาณอาหารลง
มีการให้วิตามินและแร่ธาตุผสมอาหารเพื่อบำรุงระบบสืบพันธุ์
สภาวะแวดล้อมกับการผสมพันธุ์กบ
ในธรรมฮาติกบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูฝน กบจะวางไข่ในบริเวณที่ มีน้ำตื้น มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นอยู่อย่างหนา
แน่นพอสมควร ปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่อการ ผสมพันธุ์ของกบได้แก่
1. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการผสมพันธุ์และการวางไข่ของ กบต้องไม่ต่ำกว่า 25 องศาเชลเชียส
และไม่ควรมีอุณหภูมิที่สูงเกินไป โดยปกติ อุณหภูมิในประเทศไทยจะมีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว
2. แสงสว่าง เมื่อกบไข่แล้วหากแสงสว่างไม่เพียงพอ แม่กบจะไม่ ยอมผละจากไข่จะยังคงเฝ้าและดูแลไข่ของตน
และในกรณีของการฟักไข่ ไข่ที่อยู่ในที่ร่มแสงแดดส่องไม่ถึงก็จะไม่ค่อยฟักออกเป็นตัวเช่นกัน
3. ความชื้น โดยสัญชาตญาณกบจะไม่วางไข่ในที่แล้ง กบจะไข่ ภายหลังฝนตาหรือระหว่างที่ฝนตก
ดังนั้นในการกระตุ้นให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่โดยวิธีการฉีดโปรยให้เหมือนกับมีฝนตก
จะช่วยให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่ดีขั้น
4. หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 2-3 วัน ไข่กบที่จมอยู่ก้นบ่อก็จะค่อยๆลอยขึ้นพร้อม ๆ กัน มีวุ้นหุ้มโดยรอบ
เพื่อช่วยป้องกันความร้อน และช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการฟักเป็นตัว
การเพาะพันธุ์
เติมน้ำในบ่อเพาะพันธุ์ ให้ได้ระดับ 5-7 เซนติเมตรหรือท่วมหลังกบ
ใส่พืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักตบ ต้นหญ้า ใบตำลึง เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ
((แชร์เลย)) เทคนิคการสร้างรายได้เลี้ยงกบ ให้ประสบความสำเร็จ
วิธีการเลี้ยงกบ
เงินลงทุน
ประมาณ 8,000 บาท ต่อการเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ 4 บ่อ
รายได้
ครั้งแรก 16,000 - 24,000 บาท
วัสดุ/อุปกรณ์
แม่พันธุ์-พ่อพันธุ์กบ ไม้ไผ่ทำแพหรือแผ่นโฟมทางมะพร้าว บ่อซีเมนต์ อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบและกบโต
แหล่งจำหน่ายพันธุ์กบ
ฟาร์มเลี้ยงกบทั่วไป
วิธีดำเนินการ
1. การเลี้ยงกบควรเลือกพื้นที่เป็นที่สูงหรือที่ดอน มีลักษณะราบเสมอ ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกต่อการถ่ายเทน้ำ แต่ควรให้ห่างจากถนนเพื่อป้องกันเสียงรบกวน
2. สร้างบ่อซีเมนต์ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร สูง 1 เมตร เพื่อใช้เพาะพันธุ์กบ จำนวน 1 บ่อ และสร้างบ่อขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร จำนวน 3 บ่อ โดยก่อแผ่นซีเมนต์และฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ปูนที่ฉาบควรหนาเป็นพิเศษ ตรงส่วนล่างที่เก็บขังน้ำสูงจากพื้น 1 ฟุต พื้นล่างเทปูนหนาเพื่อรองรับน้ำ และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดที่สุด
3. พันธุ์กบที่จะเพาะเลี้ยง ควรเลือกกบนา เพราะเจริญเติบโตเร็ว และเป็นที่นิยมของผู้บริโภค กบนาตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย เมื่อจับพลิกหงายขึ้นจะเห็นกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถวมุมปากส่วนตัวเมียมองไม่เห็นกล่องเสียง
การเพาะพันธุ์กบ
ล้างบ่อซีเมนต์ให้สะอาด ใส่น้ำลงไปให้ได้ความลึกประมาณครึ่งฟุต แล้วหาวัชพืชน้ำมาใส่ไว้เพื่อให้ไข่กบเกาะ จากนั้นนำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์กบ 1คู่มาใส่ไว้รวมกันประมาณ 2-3 คืน กบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงเวลา 04.00-06.00 น. เมื่อเห็นว่ากบออกไข่แล้วให้นำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ออกจากบ่อ เพื่อป้องกันไม่ให้แพไข่แตก
การอนุบาลลูกกบวัยอ่อน
เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้ว ช่วง 2 วันแรกไม่ต้องให้อาหาร เพราะลูกอ๊อดยังใช้ไข่แดงที่ติดมาเลี้ยงตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหารเม็ดสำหรับลูกกบวันละ1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 กำมือ หรืออาจให้ไข่แดงบดเป็นอาหารแทนก็ได้ ซึ่งเฉลี่ยแล้วใช้วันละ 2-3 ฟองต่อลูกอ๊อด 1 ครอกเมื่อลูกอ๊อดมีอายุ 20-30 วัน จึงเป็นลูกกบเต็มวัย ในช่วงนี้ต้องนำไม้ไผ่มาทำเป็นแพหรือแผ่นโฟมลอยน้ำเพื่อให้ลูกกบเต็มวัยขึ้นไปอาศัยอยู่ เพราะลูกอ๊อดจะโตเต็มวัยไม่พร้อมกัน อาจมีการรังแกกันจนเกิดแผลทำให้ลูกกบตายได้ ดังนั้น จึงต้องลงมือคัดลูกกบขนาดตัวยาว 2 เซนติเมตร ไปเลี้ยงในบ่อที่เตรียมไว้ บ่อละ 1,000 ตัว
การดูแลและเลี้ยงกบเต็มวัยจนเป็นกบโต
เมื่อคัดลูกกบนำไปเลี้ยงในบ่อแล้ว ใส่วัชพืชน้ำและวัสดุลอยน้ำลงไป เช่น แพไม้ไผ่หรือแผ่นโฟม เพื่อให้กบขึ้นไปอาศัยอยู่ และนำทางมะพร้าวมาคลุมบ่อเพื่อบังแดดด้วยในช่วงที่คัดลูกกบลงบ่อซีเมนต์ใหม่ ๆ นี้ ให้ใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบไประยะหนึ่งก่อนเมื่อกบโตขึ้นจึงค่อยให้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงกบโตวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ในอัตรา 3% ของน้ำหนักตัวกบ คือ ถ้ากบน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ก็ให้อาหารวันละ 3 กิโลกรัมในขั้นตอนนี้ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3 เดือน ก็สามารถจับกบจำหน่ายได้
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ส่งขายตามตลาดสดทั่วไป หรือร้านอาหาร
ข้อแนะนำ
1. การเลี้ยงกบต้องระวังเรื่องความสะอาดขณะสูบบุหรี่ใกล้บริเวณบ่อ ระวังอย่าให้ขี้บุหรี่ตกลงไปในบ่อเด็ดขาด เพราะลูกกบจะตายยกบ่อ
2. การเลี้ยงกบ ต้องคัดลูกกบขนาดเท่ากันไปเลี้ยงในบ่อเดียวกันห้ามเลี้ยงลูกกบคนละขนาดเด็ดขาด เพราะลูกกบจะกินกันเอง
3. การเลี้ยงกบควรกะระยะเวลา 4 เดือน ในการจับจำหน่าย อย่าให้ตรงกับช่วงฤดูฝน เพราะกบราคาถูก
4. อาหารกบ นอกจากอาหารเม็ดแล้ว สามารถใช้เนื้อปลาสับหรือเนื้อหอยโข่งก็ได้
5. ก่อนที่จะปล่อยแม่พันธุ์กบลงผสมพันธุ์ ต้องสังเกตแม่พันธุ์กบว่าตัวเริ่มฝืด มีปุ่มหนาม แสดงว่าพร้อมจะผสมพันธุ์ หากปล่อยลงไปแล้ว 2-3 วัน ยังไม่เห็นไข่กบก็จับพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์มาแยกเลี้ยงอีกระยะหนึ่ง แล้วค่อยนำมาผสมพันธุ์ใหม่
เงินลงทุน
ประมาณ 8,000 บาท ต่อการเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ 4 บ่อ
รายได้
ครั้งแรก 16,000 - 24,000 บาท
วัสดุ/อุปกรณ์
แม่พันธุ์-พ่อพันธุ์กบ ไม้ไผ่ทำแพหรือแผ่นโฟมทางมะพร้าว บ่อซีเมนต์ อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบและกบโต
แหล่งจำหน่ายพันธุ์กบ
ฟาร์มเลี้ยงกบทั่วไป
วิธีดำเนินการ
1. การเลี้ยงกบควรเลือกพื้นที่เป็นที่สูงหรือที่ดอน มีลักษณะราบเสมอ ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกต่อการถ่ายเทน้ำ แต่ควรให้ห่างจากถนนเพื่อป้องกันเสียงรบกวน
2. สร้างบ่อซีเมนต์ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร สูง 1 เมตร เพื่อใช้เพาะพันธุ์กบ จำนวน 1 บ่อ และสร้างบ่อขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร จำนวน 3 บ่อ โดยก่อแผ่นซีเมนต์และฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ปูนที่ฉาบควรหนาเป็นพิเศษ ตรงส่วนล่างที่เก็บขังน้ำสูงจากพื้น 1 ฟุต พื้นล่างเทปูนหนาเพื่อรองรับน้ำ และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดที่สุด
3. พันธุ์กบที่จะเพาะเลี้ยง ควรเลือกกบนา เพราะเจริญเติบโตเร็ว และเป็นที่นิยมของผู้บริโภค กบนาตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย เมื่อจับพลิกหงายขึ้นจะเห็นกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถวมุมปากส่วนตัวเมียมองไม่เห็นกล่องเสียง
การเพาะพันธุ์กบ
ล้างบ่อซีเมนต์ให้สะอาด ใส่น้ำลงไปให้ได้ความลึกประมาณครึ่งฟุต แล้วหาวัชพืชน้ำมาใส่ไว้เพื่อให้ไข่กบเกาะ จากนั้นนำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์กบ 1คู่มาใส่ไว้รวมกันประมาณ 2-3 คืน กบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงเวลา 04.00-06.00 น. เมื่อเห็นว่ากบออกไข่แล้วให้นำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ออกจากบ่อ เพื่อป้องกันไม่ให้แพไข่แตก
การอนุบาลลูกกบวัยอ่อน
เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้ว ช่วง 2 วันแรกไม่ต้องให้อาหาร เพราะลูกอ๊อดยังใช้ไข่แดงที่ติดมาเลี้ยงตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหารเม็ดสำหรับลูกกบวันละ1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 กำมือ หรืออาจให้ไข่แดงบดเป็นอาหารแทนก็ได้ ซึ่งเฉลี่ยแล้วใช้วันละ 2-3 ฟองต่อลูกอ๊อด 1 ครอกเมื่อลูกอ๊อดมีอายุ 20-30 วัน จึงเป็นลูกกบเต็มวัย ในช่วงนี้ต้องนำไม้ไผ่มาทำเป็นแพหรือแผ่นโฟมลอยน้ำเพื่อให้ลูกกบเต็มวัยขึ้นไปอาศัยอยู่ เพราะลูกอ๊อดจะโตเต็มวัยไม่พร้อมกัน อาจมีการรังแกกันจนเกิดแผลทำให้ลูกกบตายได้ ดังนั้น จึงต้องลงมือคัดลูกกบขนาดตัวยาว 2 เซนติเมตร ไปเลี้ยงในบ่อที่เตรียมไว้ บ่อละ 1,000 ตัว
การดูแลและเลี้ยงกบเต็มวัยจนเป็นกบโต
เมื่อคัดลูกกบนำไปเลี้ยงในบ่อแล้ว ใส่วัชพืชน้ำและวัสดุลอยน้ำลงไป เช่น แพไม้ไผ่หรือแผ่นโฟม เพื่อให้กบขึ้นไปอาศัยอยู่ และนำทางมะพร้าวมาคลุมบ่อเพื่อบังแดดด้วยในช่วงที่คัดลูกกบลงบ่อซีเมนต์ใหม่ ๆ นี้ ให้ใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบไประยะหนึ่งก่อนเมื่อกบโตขึ้นจึงค่อยให้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงกบโตวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ในอัตรา 3% ของน้ำหนักตัวกบ คือ ถ้ากบน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ก็ให้อาหารวันละ 3 กิโลกรัมในขั้นตอนนี้ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3 เดือน ก็สามารถจับกบจำหน่ายได้
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ส่งขายตามตลาดสดทั่วไป หรือร้านอาหาร
ข้อแนะนำ
1. การเลี้ยงกบต้องระวังเรื่องความสะอาดขณะสูบบุหรี่ใกล้บริเวณบ่อ ระวังอย่าให้ขี้บุหรี่ตกลงไปในบ่อเด็ดขาด เพราะลูกกบจะตายยกบ่อ
2. การเลี้ยงกบ ต้องคัดลูกกบขนาดเท่ากันไปเลี้ยงในบ่อเดียวกันห้ามเลี้ยงลูกกบคนละขนาดเด็ดขาด เพราะลูกกบจะกินกันเอง
3. การเลี้ยงกบควรกะระยะเวลา 4 เดือน ในการจับจำหน่าย อย่าให้ตรงกับช่วงฤดูฝน เพราะกบราคาถูก
4. อาหารกบ นอกจากอาหารเม็ดแล้ว สามารถใช้เนื้อปลาสับหรือเนื้อหอยโข่งก็ได้
5. ก่อนที่จะปล่อยแม่พันธุ์กบลงผสมพันธุ์ ต้องสังเกตแม่พันธุ์กบว่าตัวเริ่มฝืด มีปุ่มหนาม แสดงว่าพร้อมจะผสมพันธุ์ หากปล่อยลงไปแล้ว 2-3 วัน ยังไม่เห็นไข่กบก็จับพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์มาแยกเลี้ยงอีกระยะหนึ่ง แล้วค่อยนำมาผสมพันธุ์ใหม่
การเลี้ยงปลาแบบบ่อรวมประหยัดต้นทุนจนได้ปลาฟรี สร้างรายได้ปีละเกือบล้านบาท
การเลี้ยงปลาแบบบ่อรวมประหยัดต้นทุนจนได้ปลาฟรี สร้างรายได้ปีละเกือบล้านบาท
ราชบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตก ภูมิประเทศมีความหลากหลาย จากพื้นที่ราบต่ำลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดมสมบูรณ์ สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรี ทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า
นอกจากนี้ ยังถือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผัก และผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด เรียกได้ว่ามีการทำการเกษตรที่หลากหลาย ส่วนด้านการประมงที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดราชบุรีคือ การเลี้ยงกุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม และปลาสวยงาม สร้างรายได้หลักพันล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
คุณวสันต์ อินคล้าย อยู่บ้านเลขที่ 179 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านไร่ อำเภอดำเนินสะดวก เป็นอีกหนึ่งเกษตรกรในจังหวัดราชบุรี ที่เลี้ยงปลาแบบแหวกแนว โดยเลี้ยงในรูปแบบที่ไม่เน้นปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เลี้ยงในรูปแบบผสมผสานหรือเรียกง่ายๆ ว่า เลี้ยงปลารวมแบบประหยัดต้นทุน ซึ่งใน 1 บ่อ มีปลามากกว่า 2 ชนิด จากการเลี้ยงวิธีนี้ทำให้เขาประสบผลสำเร็จ เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เขาได้เป็นอย่างดี
ทดลองทำหลากหลายอาชีพ
สุดท้าย จบที่การเลี้ยงปลา
คุณวสันต์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกเดิมทีมีอาชีพเย็บผ้าอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อแต่งงานกับภรรยาจึงมีแนวคิดที่จะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี เพราะมองว่าเมื่ออายุมากขึ้นสายตาที่จะทำอาชีพเย็บผ้าต่อไปคงจะไม่ไหว จึงมาเริ่มทำการค้าขายทั่วไปอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
“ช่วงที่มาอยู่ก็ค้าขายทั่วไป จำหน่ายค้าขายของได้ดีมากช่วงนั้น ก็เริ่มมีเงินสร้างบ้าน พอมีเงินเก็บได้ก้อนหนึ่งก็เริ่มเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้ง สรุปเลี้ยงกุ้งก็ไม่ได้กำไร เป็นหนี้ พอปี 38 เปลี่ยนมาเลี้ยงปลานิลก็ขาดทุนเหมือนกัน พอมันใกล้จะจับจำหน่ายได้ปลานิลมาตายยกบ่ออีก ช่วงนั้นก็เลี้ยงปลาดุกอยู่ด้วย ก็เลยเอาปลานิลที่ตายทั้งหมดมาบดให้ปลาดุกกิน ทำไปทำมาปลาดุกนี่ทน เลี้ยงแล้วไม่ตายเหมือนปลาอื่นๆ ประสบผลสำเร็จดีกว่าที่คิด” คุณวสันต์ เล่าถึงความเป็นมาของชีวิต
แนวคิดที่มาเลี้ยงปลาหลายชนิดในบ่อเดียวกัน คุณวสันต์ เล่าว่า เกิดจากการที่เขาชอบไปร่วมการประชุมที่ทางประมงจังหวัดจัดขึ้น จึงทำให้เขาได้รับความรู้ในเรื่องต่างๆ นำมาใช้เกี่ยวกับประกอบสัมมาอาชีพที่ทำ
“ผมเป็นคนที่ชอบการประชุมอบรม พอดีประมงเขาชวนไป ก็เลยไปกับเขาด้วย ผมก็จะได้ความรู้เรื่องลักษณะนิสัยของปลาแต่ละชนิดว่าเป็นอย่างไร เราก็เลยนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาเป็นการเลี้ยงปลาแบบรวม เอาทั้งปลาสวาย ปลานิล และปลาจะละเม็ดน้ำจืด มาเลี้ยงรวมกัน ส่วนปลาดุกก็เลี้ยงแยกออกไปต่างหาก เพื่อใช้สำหรับจับจำหน่ายเอาเงินมาหมุนเวียนในการเลี้ยงปลาอื่น” คุณวสันต์ กล่าว
เลี้ยงปลาแบบบ่อรวม
มีวิธีการจัดการ ดังนี้
คุณวสันต์ บอกว่า บ่อที่ใช้สำหรับเลี้ยงมีขนาดประมาณ 6 ไร่ หรือถ้าใครมีพื้นที่เท่าไหร่ก็เลี้ยงเท่านั้น ตามความสะดวก ขุดบ่อให้มีความลึกที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 1.50 เมตร จนถึง 2 เมตร ตากบ่อประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นนำปูนขาวมาโรยให้ทั่วบ่อ เติมน้ำใส่ลงไปภายในบ่อให้เต็ม โดยใช้น้ำเขียวจากบ่อที่เลี้ยงปลาดุกมาผสมด้วย เพื่อสร้างน้ำให้เขียว
“พอเราเตรียมบ่อเสร็จเรียบร้อย ช่วงแรกผมก็จะเอาปลาสวายมาปล่อย 12,000 ตัว ปลานิล 2,000 ตัว แล้วก็ปลาจะละเม็ด ประมาณ 5,000 ตัว การปล่อยนี่จะปล่อยปลาสวายกับปลานิลก่อน พอเลี้ยง 2 ชนิดนี้ได้สัก 1-2 เดือน ก็จะปล่อยปลาจะละเม็ดตามทีหลัง ก็เลี้ยงรวมกันแบบนี้ไปได้เลย” คุณวสันต์ อธิบายขั้นตอนการปล่อยปลา
การที่นำปลาจะละเม็ดมาปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆ นั้น คุณวสันต์ ให้เหตุผลว่า ปลาจะละเม็ดมีลักษณะนิสัยที่ชอบกินอาหารตามพื้นดินที่ก้นบ่อ จะช่วยทำให้ก้นบ่อมีความสะอาด น้ำไม่เน่าเสียง่าย
อาหารที่ใช้สำหรับเลี้ยงปลาแบบบ่อรวม คุณวสันต์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะการเลี้ยงด้วยวิธีนี้ไม่เหมือนกับการเลี้ยงปลาแบบชนิดเดียว ซึ่งสามารถหาเศษเนื้อหมู เศษผัก ที่ติดต่อตามตลาดมาให้กินได้เลย
การให้อาหารไม่กำหนดตายตัวว่าต้องให้กี่มื้อต่อวัน แต่จะดูตามปริมาณของอาหารที่หามาได้ การใช้เศษอาหารให้ปลา คุณวสันต์ บอกว่า เป็นการประหยัดต้นทุนที่คุ้มค่า เพราะมีราคาต่ำกว่าอาหารเม็ดสำเร็จรูปทั่วไป
“เรื่องอาหารที่เลี้ยงนี่เราไม่ต้องไปเครียดกับมัน คือถ้าหามาได้มาก เราก็ให้กินมาก ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องให้กิน ถ้าเป็นพวกเศษไส้หมูให้กินได้เลย แต่ถ้าเป็นพวกเศษที่มีหนังติดกับกระดูก ก็เอามาต้มเสียก่อน มันไม่เหมือนกับการเลี้ยงปลาแบบเดี่ยวๆ อย่างสมมุติปลานิลแบบล้วนนี่ ถ้าไม่ได้กินอาหารเต็มที่ ปลามันก็จะผอม มันก็จะเกิดลูก ผอมหัวโต ราคาจำหน่ายก็จะได้ไม่ดี ราคาตกลงมาอีกประมาณนี้” คุณวสันต์ กล่าว
ด้านการดูแล คุณวสันต์ บอกว่า จะมีการเติมน้ำลงบ่อตามความเหมาะสม เมื่อเห็นว่าน้ำภายในบ่อเริ่มมีจำนวนลดลง ส่วนเรื่องการเกิดโรคนั้นยังไม่ค่อยพบมากเท่าที่ควร ซึ่งในขณะที่เลี้ยงก็อาจมีการตายของปลาเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
“การดูปลาว่าปลาปกติดีไหม คือเราจะสังเกตได้จากตอนเช้า ถ้าเรามาให้อาหารแล้วปลาลอยหัวขึ้นมาที่ผิวน้ำ แบบนี้ถือว่าปกติดี แต่ทางกลับกันถ้ามาแล้วในบ่อนี่เงียบกริบ ไม่มีการลอยหัวขึ้นมาเลย เตรียมได้เลยว่าจะต้องเกิดปัญหาขึ้น อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำ เพราะเราสังเกตได้แล้วว่าปลามันเริ่มผิดปกติ” คุณวสันต์ กล่าวถึงการสังเกตอาการของปลาเบื้องต้น
คุณวสันต์ บอกว่า ปลาทั้ง 3 ชนิด ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 10 เดือนขึ้นไป จึงจะจับจำหน่าย ไม่ต้องคำนึงเรื่องเวลาเรื่องการโต คือถึงแม้ว่าปลานิลจะใช้เวลาเลี้ยงน้อยกว่าปลาสวาย ก็จะจับปลานิลจำหน่ายพร้อมกัน
ปลาที่เลี้ยง
จำหน่ายได้ทั้งหมด
ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาด
คุณวสันต์ บอกว่า ปลาทั้งหมดภายในบ่อส่งจำหน่ายที่แพปลาที่ไปติดต่อไว้ โดยเช็กราคาเสียก่อน ถ้าราคาในช่วงนั้นยังไม่เป็นที่พอใจ ก็อาจจะเลี้ยงให้เกินเวลาต่อไปอีกสักระยะ
“พอปลาเราใกล้จับได้ เราก็เริ่มโทร.เช็กราคาเป็นระยะ ถ้าเป็นช่วงที่ราคาดีเราก็จับได้เลย อันนี้การทำตลาดของผมนะ เพราะว่าปลายิ่งใหญ่ก็ยิ่งได้ราคา อีกอย่างผมมีบ่อปลาดุกที่เลี้ยงไว้ต่างหาก เอาเงินจากตรงนั้นมาใช้หมุนเวียนได้ พอเราจำหน่ายปลา 3 ชนิดนี้ เราก็ได้เงินก้อนเป็นเงินเก็บได้ กำไรมันคือตรงนี้แหละ ได้เต็มที่” คุณวสันต์ กล่าว
ปลานิลที่เลี้ยงแบบบ่อรวม อายุประมาณ 10 เดือน จะมีน้ำหนักต่อตัว ประมาณ 500-600 กรัม จำหน่ายอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 30-35 บาท ส่วนปลาสวายและปลาจะละเม็ดจะมีน้ำหนัก ประมาณ 1-1.2 กิโลกรัม จำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 25-28 บาท
คุณวสันต์ บอกว่า เรื่องการตลาดที่ส่งจำหน่ายไม่มีทางตันอย่างแน่นอน เพราะปลาที่เลี้ยงบางส่วนก็จะส่งไปแปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา ทำให้ยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะในบ่อของเขามีให้เลือกถึง 3 ชนิด
“ตลาดช่วงแรกๆ ผมก็เข้าไปสอบถามที่แพปลาใกล้บ้าน ว่าผมเลี้ยงปลาชนิดนี้จะรับซื้อไหม เขาก็อธิบายว่าซื้อ แถมให้ความรู้เราด้วยว่าปลาที่จำหน่ายไป จะไปแปรรูปแบบไหนบ้าง ซึ่งราคาอาจถูกกว่าปลานิล ผมก็ทำใจได้ เพราะว่าคิดดูสวายกับจะละเม็ดนี่ตัวใหญ่กว่าปลานิล เวลาที่เราเลี้ยงอยากจะให้ได้น้ำหนักมากๆ ก็นานหน่อย แต่ไม่ต้องใช้ลูกพันธุ์เยอะ สมมุติอย่างปลานิลจะให้มีน้ำหนักเยอะ ปลาก็ต้องมีมาก เท่ากับว่าเราก็ต้องซื้อพันธุ์ปลามาปล่อยเยอะ แถมต้นทุนเราก็สูงขึ้นไปอีก มันทำให้จำหน่ายขาดทุนได้นะ ซึ่งผมเองลองทำมาบ้างแล้ว ถ้าเทียบกันจริงๆ ผมขอเลี้ยงแบบนี้ดีกว่าครับ” คุณวสันต์ กล่าวถึงข้อดีของการเลี้ยงปลาแบบรวม
การเป็นผู้ใฝ่รู้
นำมาสู่ความสำเร็จ
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากเลี้ยงปลาเป็นงานที่สร้างรายได้ เพื่อเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักนั้น คุณวสันต์ ให้คำแนะนำว่า
“การเลี้ยงปลาจะประสบผลสำเร็จต้องหาความรู้ คือเราต้องเรียนรู้สอบถามกับประมงแต่ละพื้นที่ ว่าเราต้องการเลี้ยงปลาอะไร เขาก็จะแนะนำมาตามหลักวิชาการ ส่วนประสบการณ์เราก็ไปสอบถามกับคนที่เขาเลี้ยงอยู่แล้ว เอาประสบการณ์ของเขามาต่อยอดการเลี้ยงของเราเอง คำว่า ความสำเร็จนี่อยู่ไม่ไกลแน่นอน ส่วนพอมีปลาพร้อมจำหน่ายแล้ว กลัวอีกว่าจะจำหน่ายที่ไหนอะไรยังไง จะบอกว่าไม่ต้องกลัว ถึงเวลามันจะมีทางไปเอง เพราะว่าปลานี่ใครๆ ก็กินกันได้ทั่วไป คนเข้าถึงได้ยังไงคนก็กิน ตลาดจึงไม่มีทางตัน”
สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวสันต์ อินคล้าย หมายเลขโทรศัพท์ (087) 156-1137
ราชบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตก ภูมิประเทศมีความหลากหลาย จากพื้นที่ราบต่ำลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดมสมบูรณ์ สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรี ทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า
นอกจากนี้ ยังถือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผัก และผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด เรียกได้ว่ามีการทำการเกษตรที่หลากหลาย ส่วนด้านการประมงที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดราชบุรีคือ การเลี้ยงกุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม และปลาสวยงาม สร้างรายได้หลักพันล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
คุณวสันต์ อินคล้าย อยู่บ้านเลขที่ 179 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านไร่ อำเภอดำเนินสะดวก เป็นอีกหนึ่งเกษตรกรในจังหวัดราชบุรี ที่เลี้ยงปลาแบบแหวกแนว โดยเลี้ยงในรูปแบบที่ไม่เน้นปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เลี้ยงในรูปแบบผสมผสานหรือเรียกง่ายๆ ว่า เลี้ยงปลารวมแบบประหยัดต้นทุน ซึ่งใน 1 บ่อ มีปลามากกว่า 2 ชนิด จากการเลี้ยงวิธีนี้ทำให้เขาประสบผลสำเร็จ เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เขาได้เป็นอย่างดี
ทดลองทำหลากหลายอาชีพ
สุดท้าย จบที่การเลี้ยงปลา
คุณวสันต์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกเดิมทีมีอาชีพเย็บผ้าอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อแต่งงานกับภรรยาจึงมีแนวคิดที่จะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี เพราะมองว่าเมื่ออายุมากขึ้นสายตาที่จะทำอาชีพเย็บผ้าต่อไปคงจะไม่ไหว จึงมาเริ่มทำการค้าขายทั่วไปอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
“ช่วงที่มาอยู่ก็ค้าขายทั่วไป จำหน่ายค้าขายของได้ดีมากช่วงนั้น ก็เริ่มมีเงินสร้างบ้าน พอมีเงินเก็บได้ก้อนหนึ่งก็เริ่มเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้ง สรุปเลี้ยงกุ้งก็ไม่ได้กำไร เป็นหนี้ พอปี 38 เปลี่ยนมาเลี้ยงปลานิลก็ขาดทุนเหมือนกัน พอมันใกล้จะจับจำหน่ายได้ปลานิลมาตายยกบ่ออีก ช่วงนั้นก็เลี้ยงปลาดุกอยู่ด้วย ก็เลยเอาปลานิลที่ตายทั้งหมดมาบดให้ปลาดุกกิน ทำไปทำมาปลาดุกนี่ทน เลี้ยงแล้วไม่ตายเหมือนปลาอื่นๆ ประสบผลสำเร็จดีกว่าที่คิด” คุณวสันต์ เล่าถึงความเป็นมาของชีวิต
แนวคิดที่มาเลี้ยงปลาหลายชนิดในบ่อเดียวกัน คุณวสันต์ เล่าว่า เกิดจากการที่เขาชอบไปร่วมการประชุมที่ทางประมงจังหวัดจัดขึ้น จึงทำให้เขาได้รับความรู้ในเรื่องต่างๆ นำมาใช้เกี่ยวกับประกอบสัมมาอาชีพที่ทำ
“ผมเป็นคนที่ชอบการประชุมอบรม พอดีประมงเขาชวนไป ก็เลยไปกับเขาด้วย ผมก็จะได้ความรู้เรื่องลักษณะนิสัยของปลาแต่ละชนิดว่าเป็นอย่างไร เราก็เลยนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาเป็นการเลี้ยงปลาแบบรวม เอาทั้งปลาสวาย ปลานิล และปลาจะละเม็ดน้ำจืด มาเลี้ยงรวมกัน ส่วนปลาดุกก็เลี้ยงแยกออกไปต่างหาก เพื่อใช้สำหรับจับจำหน่ายเอาเงินมาหมุนเวียนในการเลี้ยงปลาอื่น” คุณวสันต์ กล่าว
เลี้ยงปลาแบบบ่อรวม
มีวิธีการจัดการ ดังนี้
คุณวสันต์ บอกว่า บ่อที่ใช้สำหรับเลี้ยงมีขนาดประมาณ 6 ไร่ หรือถ้าใครมีพื้นที่เท่าไหร่ก็เลี้ยงเท่านั้น ตามความสะดวก ขุดบ่อให้มีความลึกที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 1.50 เมตร จนถึง 2 เมตร ตากบ่อประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นนำปูนขาวมาโรยให้ทั่วบ่อ เติมน้ำใส่ลงไปภายในบ่อให้เต็ม โดยใช้น้ำเขียวจากบ่อที่เลี้ยงปลาดุกมาผสมด้วย เพื่อสร้างน้ำให้เขียว
“พอเราเตรียมบ่อเสร็จเรียบร้อย ช่วงแรกผมก็จะเอาปลาสวายมาปล่อย 12,000 ตัว ปลานิล 2,000 ตัว แล้วก็ปลาจะละเม็ด ประมาณ 5,000 ตัว การปล่อยนี่จะปล่อยปลาสวายกับปลานิลก่อน พอเลี้ยง 2 ชนิดนี้ได้สัก 1-2 เดือน ก็จะปล่อยปลาจะละเม็ดตามทีหลัง ก็เลี้ยงรวมกันแบบนี้ไปได้เลย” คุณวสันต์ อธิบายขั้นตอนการปล่อยปลา
การที่นำปลาจะละเม็ดมาปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆ นั้น คุณวสันต์ ให้เหตุผลว่า ปลาจะละเม็ดมีลักษณะนิสัยที่ชอบกินอาหารตามพื้นดินที่ก้นบ่อ จะช่วยทำให้ก้นบ่อมีความสะอาด น้ำไม่เน่าเสียง่าย
อาหารที่ใช้สำหรับเลี้ยงปลาแบบบ่อรวม คุณวสันต์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะการเลี้ยงด้วยวิธีนี้ไม่เหมือนกับการเลี้ยงปลาแบบชนิดเดียว ซึ่งสามารถหาเศษเนื้อหมู เศษผัก ที่ติดต่อตามตลาดมาให้กินได้เลย
การให้อาหารไม่กำหนดตายตัวว่าต้องให้กี่มื้อต่อวัน แต่จะดูตามปริมาณของอาหารที่หามาได้ การใช้เศษอาหารให้ปลา คุณวสันต์ บอกว่า เป็นการประหยัดต้นทุนที่คุ้มค่า เพราะมีราคาต่ำกว่าอาหารเม็ดสำเร็จรูปทั่วไป
“เรื่องอาหารที่เลี้ยงนี่เราไม่ต้องไปเครียดกับมัน คือถ้าหามาได้มาก เราก็ให้กินมาก ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องให้กิน ถ้าเป็นพวกเศษไส้หมูให้กินได้เลย แต่ถ้าเป็นพวกเศษที่มีหนังติดกับกระดูก ก็เอามาต้มเสียก่อน มันไม่เหมือนกับการเลี้ยงปลาแบบเดี่ยวๆ อย่างสมมุติปลานิลแบบล้วนนี่ ถ้าไม่ได้กินอาหารเต็มที่ ปลามันก็จะผอม มันก็จะเกิดลูก ผอมหัวโต ราคาจำหน่ายก็จะได้ไม่ดี ราคาตกลงมาอีกประมาณนี้” คุณวสันต์ กล่าว
ด้านการดูแล คุณวสันต์ บอกว่า จะมีการเติมน้ำลงบ่อตามความเหมาะสม เมื่อเห็นว่าน้ำภายในบ่อเริ่มมีจำนวนลดลง ส่วนเรื่องการเกิดโรคนั้นยังไม่ค่อยพบมากเท่าที่ควร ซึ่งในขณะที่เลี้ยงก็อาจมีการตายของปลาเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
“การดูปลาว่าปลาปกติดีไหม คือเราจะสังเกตได้จากตอนเช้า ถ้าเรามาให้อาหารแล้วปลาลอยหัวขึ้นมาที่ผิวน้ำ แบบนี้ถือว่าปกติดี แต่ทางกลับกันถ้ามาแล้วในบ่อนี่เงียบกริบ ไม่มีการลอยหัวขึ้นมาเลย เตรียมได้เลยว่าจะต้องเกิดปัญหาขึ้น อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำ เพราะเราสังเกตได้แล้วว่าปลามันเริ่มผิดปกติ” คุณวสันต์ กล่าวถึงการสังเกตอาการของปลาเบื้องต้น
คุณวสันต์ บอกว่า ปลาทั้ง 3 ชนิด ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 10 เดือนขึ้นไป จึงจะจับจำหน่าย ไม่ต้องคำนึงเรื่องเวลาเรื่องการโต คือถึงแม้ว่าปลานิลจะใช้เวลาเลี้ยงน้อยกว่าปลาสวาย ก็จะจับปลานิลจำหน่ายพร้อมกัน
ปลาที่เลี้ยง
จำหน่ายได้ทั้งหมด
ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาด
คุณวสันต์ บอกว่า ปลาทั้งหมดภายในบ่อส่งจำหน่ายที่แพปลาที่ไปติดต่อไว้ โดยเช็กราคาเสียก่อน ถ้าราคาในช่วงนั้นยังไม่เป็นที่พอใจ ก็อาจจะเลี้ยงให้เกินเวลาต่อไปอีกสักระยะ
“พอปลาเราใกล้จับได้ เราก็เริ่มโทร.เช็กราคาเป็นระยะ ถ้าเป็นช่วงที่ราคาดีเราก็จับได้เลย อันนี้การทำตลาดของผมนะ เพราะว่าปลายิ่งใหญ่ก็ยิ่งได้ราคา อีกอย่างผมมีบ่อปลาดุกที่เลี้ยงไว้ต่างหาก เอาเงินจากตรงนั้นมาใช้หมุนเวียนได้ พอเราจำหน่ายปลา 3 ชนิดนี้ เราก็ได้เงินก้อนเป็นเงินเก็บได้ กำไรมันคือตรงนี้แหละ ได้เต็มที่” คุณวสันต์ กล่าว
ปลานิลที่เลี้ยงแบบบ่อรวม อายุประมาณ 10 เดือน จะมีน้ำหนักต่อตัว ประมาณ 500-600 กรัม จำหน่ายอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 30-35 บาท ส่วนปลาสวายและปลาจะละเม็ดจะมีน้ำหนัก ประมาณ 1-1.2 กิโลกรัม จำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 25-28 บาท
คุณวสันต์ บอกว่า เรื่องการตลาดที่ส่งจำหน่ายไม่มีทางตันอย่างแน่นอน เพราะปลาที่เลี้ยงบางส่วนก็จะส่งไปแปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา ทำให้ยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะในบ่อของเขามีให้เลือกถึง 3 ชนิด
“ตลาดช่วงแรกๆ ผมก็เข้าไปสอบถามที่แพปลาใกล้บ้าน ว่าผมเลี้ยงปลาชนิดนี้จะรับซื้อไหม เขาก็อธิบายว่าซื้อ แถมให้ความรู้เราด้วยว่าปลาที่จำหน่ายไป จะไปแปรรูปแบบไหนบ้าง ซึ่งราคาอาจถูกกว่าปลานิล ผมก็ทำใจได้ เพราะว่าคิดดูสวายกับจะละเม็ดนี่ตัวใหญ่กว่าปลานิล เวลาที่เราเลี้ยงอยากจะให้ได้น้ำหนักมากๆ ก็นานหน่อย แต่ไม่ต้องใช้ลูกพันธุ์เยอะ สมมุติอย่างปลานิลจะให้มีน้ำหนักเยอะ ปลาก็ต้องมีมาก เท่ากับว่าเราก็ต้องซื้อพันธุ์ปลามาปล่อยเยอะ แถมต้นทุนเราก็สูงขึ้นไปอีก มันทำให้จำหน่ายขาดทุนได้นะ ซึ่งผมเองลองทำมาบ้างแล้ว ถ้าเทียบกันจริงๆ ผมขอเลี้ยงแบบนี้ดีกว่าครับ” คุณวสันต์ กล่าวถึงข้อดีของการเลี้ยงปลาแบบรวม
การเป็นผู้ใฝ่รู้
นำมาสู่ความสำเร็จ
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากเลี้ยงปลาเป็นงานที่สร้างรายได้ เพื่อเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักนั้น คุณวสันต์ ให้คำแนะนำว่า
“การเลี้ยงปลาจะประสบผลสำเร็จต้องหาความรู้ คือเราต้องเรียนรู้สอบถามกับประมงแต่ละพื้นที่ ว่าเราต้องการเลี้ยงปลาอะไร เขาก็จะแนะนำมาตามหลักวิชาการ ส่วนประสบการณ์เราก็ไปสอบถามกับคนที่เขาเลี้ยงอยู่แล้ว เอาประสบการณ์ของเขามาต่อยอดการเลี้ยงของเราเอง คำว่า ความสำเร็จนี่อยู่ไม่ไกลแน่นอน ส่วนพอมีปลาพร้อมจำหน่ายแล้ว กลัวอีกว่าจะจำหน่ายที่ไหนอะไรยังไง จะบอกว่าไม่ต้องกลัว ถึงเวลามันจะมีทางไปเอง เพราะว่าปลานี่ใครๆ ก็กินกันได้ทั่วไป คนเข้าถึงได้ยังไงคนก็กิน ตลาดจึงไม่มีทางตัน”
สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวสันต์ อินคล้าย หมายเลขโทรศัพท์ (087) 156-1137
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561
เจ๋งเลย ! สร้างสระว่ายน้ำไว้คลายร้อน ใช้งบ 65,000 บาท แชร์เลย
รีวิวสร้างสระว่ายน้ำในบ้านเอาไว้คลายร้อน ใช้งบ 65,000 บาท ก็ได้สระน้ำเจ๋ง ๆ เอาไว้กระโดดเล่นกันในครอบครัวสบาย ๆ
อากาศร้อน ๆ เมืองไทย ไม่ว่าฤดูไหนก็ยังร้อนระอุ ยิ่งหน้าร้อนมาเยือนด้วยแล้วก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะคงอยากแช่น้ำเล่นเหมือนเป็นวันสงกรานต์กันทุกวันแน่ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยนำรีวิวเด็ด ๆ จาก คุณ sai2358 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝากกัน เพราะเป็นการ สร้างสระว่ายน้ำในบ้านด้วยตัวเอง โดยใช้งบไป 65,000 บาท เรียกว่าไม่ต้องถึงหลักแสน ก็ได้สระมาแช่เล่นให้เย็นใจแล้วนะ เรารีบไปเก็บไอเดียเจ๋ง ๆ แบบนี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจกันเถอะ
สร้างสระว่ายน้ำไว้คลายร้อนไม่ถึงแสน โดย คุณ sai2358
ไม่รู้จะเริ่มต้นแบบใหนดีเห็นช่วงนี้กำลังร้อนเลยนำภาพสระว่ายน้ำที่สร้างขึ้นเองในงบราคาเบา ๆ มานำเสนอเพื่อนสมาชิก กะจะทำไว้เล่นแบบสระเล็ก ๆ ทำไปทำมาคิดไปคิดมากลายเป็นสระอย่างที่เห็นนี่แหละครับ เจ้าลูกชายรับเหมาขุดดินเองในช่วงปิดเทอมปีที่แล้วเดือนเมษายน 2557 พาเพื่อน ๆ มาช่วยขุด มาเริ่มกันเลยครับตามภาพ
- สถานที่ก่อสร้างอยู่ทุ่งกุลาร้องไห้นะครับ สร้างเสร็จมานานกว่า 10 เดือนแล้ว กับปริมาตรน้ำ 27,000 ลิตรเต็มความจุของสระ รอยร้าวหรืออาการทรุดไม่มีผ่านฝนหนัก ๆ มาหลายครั้ง ล่าสุดก็เมื่อต้นเดือนนี้เองสระก็ยังปกติ
- ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ เสาเข็ม 6 เมตร จะอยู่หรือเปล่า ยังต้องคิดต่อกันอีกกับน้ำหนักขนาด 30 ตันของสระรวมน้ำที่เติมลงไป ยังไม่นับรวมแรงกดแรงดันทุกทิศทุกทางของน้ำที่มีคนลงไปเล่นหลาย ๆ คนพร้อม ๆ กันหากเกิดปัญหาเรื่องทรุด เรื่องร้าว ผมว่าไม่ต้องรอนานถึงเป็น 10 เดือน แค่เติมน้ำลงไปตั้งแต่บ่มปูนเสร็จมันต้องพังลงมาไม่เป็นท่าแล้วละครับ ถ้าพื้นไม่ดีมีรอยร้าวหรือรั่วซึมได้ไม่ต้องรอให้ถึง 10 เดือนครับ ไม่กี่ชั่วโมงกับน้ำหนักขนาดนี้ไม่รอดแน่นอนครับ
- ความสุขของคนบ้านนอกอย่างผมก็ตรงนี้แหละครับ
- ความสุขของเด็ก ๆ ก็คือความสุขของเรา
- แหล่งน้ำมาจากตรงนี้ครับ ถ้าขืนใช้ปะปามีหวังค่าน้ำเดือนหนึ่งหลักหมื่นแน่ ๆ เพราะหน่วยละ 5 บาทครับ
เจตนาในการตั้งกระทู้คือ ต้องการบอกกล่าวสำหรับผู้ที่ต้องการหรือกำลังคิดจะทำสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและเติมความสุขให้กับชีวิตของตนและครอบครัวนะครับ ไม่ได้มีเจตนาไปตัดราคาผู้รับเหมาหรืออะไรต่าง ๆ นานา ที่อาจทำให้ขุ่นเคืองใจกับท่านใด้ การสร้างก็เป็นไปตามความคิดบวกหลักวิชาการที่ค้นคว้าจากโลกออนไลน์ทั้งในประเทศละนอกประเทศมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง
ผมตั้งใจและฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะสร้างบ้านพร้อมสระไว้เล่นน้ำก่อนจะลงมือก็ประชามติเสียงจากที่ประชุมใหญ่ของครอบครัว (มีแค่ 4 คน 5555) เพื่อสนับสนุนของบประมาณในการก่อสร้าง (ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตแบบการเมืองไทยเลย) สรุปว่าทุกคนเห็นชอบผ่านที่ประชุมด้วยเสียงสนับสนุน 3-0 ผมไม่ออกเสียงครับ ก็นั่งหาข้อมูลเรื่องต่าง ๆ จนเป็นรูปธรรมขึ้นมาอวดเพื่อน ๆ ครับ
งบก่อสร้างแยกเป็นรายการดังนี้
1. ค่าแรงขุดดิน 3,000 บาท ขนาดสระ 4 x 6 x 1.5 เมตร
2. ค่าอิฐบล็อก+ค่าทราย+ค่าเหล็ก+ค่าหิน+ค่าปูน รวม 15,000 บาท
3. กระเบื้อง+ปูนยาแนว+น้ำยากันซึม+ท่อ PVC และข้อต่อ+กาว 13,000 บาท
4. ช่างปูน+ช่างปูกระเบื้อง 12,000 บาท
5. ปั๊มกรองขนาด 1 แรง + ถังกรองทรายขนาด 20 นิ้ว + ทรายกรอง 22,000 บาท
รวมทั้งหมด 65,000 บาทพอดีครับ
((แชร์เลย)) ขั้นตอนการเพาะเห็ดนางฟ้า สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพ
ขั้นตอนการเพาะเห็ดนางฟ้า
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดนางฟ้า
1. การเตรียมโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดนางฟ้า
สำหรับโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้านั้นควรมีขนาด 2 x 15 x 2 (กว้าง x ยาว x สูง) เมตร ซึ่งจะวางก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้ประมาณ 4,000 ก้อน โรงเรือนควรเป็นแบบที่สร้างง่าย ลงทุนน้อย และวัสดุที่จะนำมาสร้างเป็นโรงเรือนนั้นจะต้องหาง่ายที่มีอยู่ในท้องถิ่น เป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ฟาง, หญ้าแฝก, ไม้ไผ่ เป็นต้น สำหรับการสร้างโรงเรือนให้เหมาะสมนั้นควรสร้างในที่เย็นชื้นและสะอาดปราศจากศัตรูของเห็ดที่จะเข้ามารบกวน หลังคามุงจากหรือแฝก แล้วคลุมทับด้วยสะแลนอีก 1 ชิ้น การคลุมหลังคาขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ดด้วย เพื่อป้องกันลม ลมแรง ลมค่อย ลมหนาว ลมแห้งแล้ง สภาพลม สภาพอากาศ มีผลกระทบต่อการออกดอกของเห็ดได้เช่นเดียวกัน ปิดประตูด้วยกระสอบป่านหรือแผ่นยาง ปูพื้นด้วยทราย เพื่อเก็บความชื้น ทิศทางลม ก้อมีส่วนสำคัญในการโรงเพาะเห็ด ต้องดูทิศทางของลมเหนือลมใต้ เพื่อป้องกันการพัดพาเชื้อโรค ที่จะมีผลต่อก้อนเห็ด และการออกดอกของเห็ด
การสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้าขนาด 2 x 15 x 2 มีทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ซึ่งแต่ละด้านสามารถเก็บก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้ถึง 1,000 ก้อน ซึ่งการทำโรงเรือนในลักษณะนี้ ใช้พื้นที่รวมแล้วแค่ประมาณ 60 ตารางเมตรเท่านั้น วัสดุในการทำงานก็ใช้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ ไม้ยูคา หรือ อื่น ๆ ตัวเสาก็อาจจะใช้ไม้ที่มีขนาดใหญ่เพื่อความแข็งแรงของโรงเรือน หลังคาก็ใช้หญ้าแฝก ซึ่งเป็นวัสดุที่เหมาะกับการทำโรงเรือนเป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถกักเก็บความร้อนชื้นได้ดี เป็นภูมิอากาศที่เห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าชอบ
ขั้นตอนที่ 2 การทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางฟ้า
วิธีการทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
การทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางฟ้านั้นจำเป็นต้องหาวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมดังนี้ ได้แก่ขี้เลื่อยยางพาราหรือขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อน แต่ในทางปฏิบัตินั้นขี้เลื่อยยางพาราจะให้ผลดีที่สุด จากนั้นก็หาส่วนผสมต่างๆเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารมากยิ่งขึ้น และสูตรการทำก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้ามีส่วนผสมหลัก ๆดังนี้
ขี้เลื่อยยางพาราแห้งสนิท 100 กิโลกรัม
รำละเอียด 6 – 8 กิโลกรัม
ข้าวโพดป่น 3 – 5 กิโลกรัม
ปูนยิบซัม 1 กิโลกรัม
หินปูนหรือผงชอล์ก 1 กิโลกรัม
ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
น้ำ 80 กิโลกรัม
EM 1 ลิตร
เมื่อหาส่วนผสมมาครบแล้ว ก็ทำการตากและกองขี้เลื่อยยางพาราไว้ประมาณ 7 วัน จากนั้นค่อยทำการผสมโดยการเติมน้ำลงประมาณ 70 เปอร์เซนต์ ทดสอบโดยการกำส่วนผสมถ้ามีน้ำซึมตามง่ามมือแสดงว่าการผสมนี้ผสมน้ำมากเกินไปแต่ถ้าเมื่อบีบแล้วขี้เลื่อยแตกเป็น 3 ก้อนแสดงว่าการผสมใช้ได้เรียกว่าพอดีแล้วแต่ถ้าว่าถ้ากำแล้วแบมือออกแล้วขี้เลื่อยจับตัวไม่เป็นก้อนแสดงว่าเติมน้ำน้อยจนเกินไป เมื่อผสมเข้ากันได้ที่แล้วก็ทำการกรอกใส่ถุงเพาะเห็ด ใส่ให้ได้น้ำหนักประมาณ 800 – 900 กรัม หลังจากนั้นก็ทำการรวบปากถุงกระทุ้งกับพื้นให้แน่นพอประมาณหลังจากนั้นก็ทำการใส่คอขวด
ขั้นตอนที่ 3 การหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางฟ้า
การหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางฟ้า
เมื่อทำก้อนเชื้อเสร็จแล้ว เราก็จะนำก้อนเชื้อที่ได้ทำการหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าตามลำดับ โดยก่อนอื่นก้อนเชื้อที่ได้นั้นเราก็จะนำมาทำการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ ถ้ามีหม้อนึ่งความดันอยู่แล้วก็ให้นึ่งที่ความดัน 25 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว โดยทำการนึ่งที่ระยะเวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีหม้อนึ่งความดันอาจใช้หม้อนึ่งจากถังน้ำมัน 200 ลิตร แทนก็ได้ แต่จะต้องทำการนึ่งประมาณ 3 ครั้ง โดยทำการนึ่งที่อุณหภูมิ 100 อาศาเซลเซียส นึ่งที่ระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง และทำการนึ่งทั้งหมด 3 ครั้ง เมื่อผ่านขั้นตอนการนึ่งฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว เราก็จะทำการหยอดเชื้อเห็ดลงสู่ก้อนเชื้อ เชื้อเห็ดจากเมล็ดข้าวฟ่างควรหยอดเชื้อลงประมาณ 20 – 25 เมล็ด เมื่อหยอดเชื้อลงสู่ก้อนเชื้อเห็ดเสร็จแล้ว ให้ทำการปิดปากถุงก้อนเชื้อให้เรียบร้อย หลังจากทำการหยอดเชื้อลงในก้อนเชื้อเสร็จ เราก็จะทำการบ่มเชื้อเห็ดในอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยการบ่มเชื้อนั้นต้องนำก้อนไปบ่มไว้ที่ระยะเวลาประมาณ 20-25 วัน กรรมวิธีการบ่มก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ต้องเก็บให้เป็นระเบียบ ไม่ถูกแดด ไม่ถูกฝน ลมไม่โกรกไม่มีแมลง ไม่มีหนู อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ขั้นตอนที่ 4 การเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางฟ้า
การเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
หลังจากที่ได้เราทำการบ่มเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นช่วงระยะเวลาของการเปิดดอกและทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าจะออกดอกเมื่อมีความชื้นสูงพออากาศไม่ร้อนมาก เมื่อถูกเหนี่ยวนำด้วยอากาศเย็นตอนกลางคืนก็จะออกดอกได้ดี เทคนิคที่ทำให้ออกดอกสม่ำเสมอและดอกใหญ่สามารถทำได้ดังนี้ เมื่อเก็บดอกเสร็จต้องทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อโดยเขี่ยเศษเห็ดออกให้หมด งดให้น้ำสัก 3 วัน เพื่อให้เชื้อฟักตัวแล้วก็กลับมาให้น้ำอีกตามปกติเห็ดก็จะเกิดเยอะเหมือนเดิมหรือเมื่อเก็บดอกเห็ดเสร็จก็ทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อเหมือนเดิม แล้วรัดปากถุงไม่ให้อากาศเข้าทิ้งระยะเวลาประมาณ 2 – 3 วัน ให้น้ำปกติหลังจากนั้นก็เปิดปากถุงก็จะเกิดดอกที่สม่ำเสมอเป็นการเหนี่ยวนำให้ออกดอกพร้อมกัน เมื่อเห็ดออกดอกและบานจนได้ขนาดที่ต้องการแล้ว ให้เก็บดอกโดยจับที่โคนดอกทั้งช่อ โยกซ้ายขวา-บนล่าง แล้วดึงออกจากถุงเห็ด ระวังอย่าให้ปากถุงเห็ดบาน ถ้าดอกเห็นโคนขาดติดอยู่ให้แคะออกทิ้งให้สะอาดเพื่อป้องกันการเน่าเสีย เป็นสาเหตุทำให้เกิดหนอนจากการวางไข่ของแมลงได้ การดูลักษณะดอกเห็ดที่ควรเก็บ คือดอกไม่แก่ หรืออ่อนจนเกินไป ดูที่ขอบดอกยังงุ้มอยู่คือดอกที่เหมาะแก่การเก็บเกี่ยว ถ้าขอบยกขึ้นแสดงว่าแก่แล้ว ดอกเห็ดที่แก่จัด และออกสปอร์เป็นผงขาวด้านหลังดอกเห็ด ต้องรีบเก็บออก เพราะสปอร์จะเป็นตัวชักนำให้แมลงเข้ามาในโรงเรือนเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้
ขั้นตอนที่ 5 ปัญหาที่พบในการเพาะเห็ดนางฟ้า
ปัญหาที่พบในการเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
เราสามารถวิเคราะห์ปัญหาในการเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าออกมาได้ 7 ข้อหลัก ๆ ดังนี้
1. เชื้อในถุงไม่เดิน
สาเหตุ ขณะหยอดเชื้อถุงก้อนเชื้อร้อนเกิน เชื้ออ่อนแอเกินไป และลืมหยอดเชื้อ
วิธีแก้ไข ตั้งก้อนเชื้อให้เย็นอย่างน้อย 24 ชั่งโมง คัดเชื้ออ่อนแอทิ้ง ก่อนหยอดเชื้อ ขณะหยอดเชื้อต้องมีสติ และสมาธิแน่นแน่
2. หนอนแมลงหวี่กินเส้นใย
สาเหตุ แมลงหวี่ไข่ไว้ที่ฝาจุกหรือสำลี
วิธีแก้ไข ตรวจสอบสุขภาพอนามัยของโรงเรือน จุก สำลี ต้องนึ่งฆ่าเชื้อ สำลีต้องอุดให้แน่น ปิดกระดาษให้สนิทอย่าให้มีช่อง
3. เชื้อเดิน แต่หยุด มีกลิ่นบูด มีน้ำเมือก มีสีเหลือง เขียว หรือสีดำ
สาเหตุ มีราหรือแบคทีเรียปนเปื้อน นึ่งฆ่าเชื้อไม่หมด นึ่งฆ่าเชื้อดีแต่กระบวนการลดความร้อนและเปิดหม้อนึ่งไม่ถูกต้อง เชื้อเห็ดที่ใช้ไม่มีคุณภาพ วิธีการหยอดเชื้อไม่ดี บ่มถุงก้อนเชื้อหนาแน่นเกินไปทำให้การระบายอากาศไม่ดี มีคาร์บอนไดออกไซค์มาก
วิธีแก้ไข ให้ทบทวนสาเหตุหลักของการปนเปื้อน ตรวจกระบวนการนึ่ง เรื่อง เวลา อุณหภูมิ จำนวนก้อน ไล่อากาศในหม้อนึ่ง ค่อยๆลดความร้อน อย่าเปิดหม้อนึ่งอย่ารวดเร็ว ตรวจดูจุกสำลีว่าแน่นหรือไม่ ใช้เชื้อเห็ดที่บริสุทธิ์ อบรมวิธีการปลอดเชื้อ และปรับปรุงวิธีทำงาน ห้องบ่มเชื้อควรมีอุณหภูมิ 25 – 30 องศาเซลเซียส ปรับปรุงเรื่องสุขอนามัยฟาร์ม
4. เชื้อเดินเต็มก้อน แต่ไม่ออกดอก
สาเหตุ เชื้อเป็นหมัน เชื้อไม่ดี สภาพแวดล้อมในโรงเรือนไม่เหมาะสม มีสิ่งปนเปื้อน เช่น รา ไร แบคทีเรีย หนอน และมีการใช้สารเคมีมากเกินไป
วิธีแก้ไข จัดหาเชื้อใหม่ จัดสภาพในโรงเรือนให้เหมาะสม จัดสุขอนามัยฟาร์ม แสง อุณหภูมิ ความชื้น การถ่ายเทอากาศ และไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดแมลง
5. เกิดดอกเห็ดแต่ก้านยาวหมวกดอกไม่แผ่ออก
สาเหตุ แสงไม่เพียงพอและมีคาร์บอนไดออกไซค์มากเกินไป
วิธีแก้ไข ปรับแสงให้มากขึ้น จัดให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น
6. เกิดหน่อมากแต่ดอกกลับเติบโตน้อย
สาเหตุ เชื้ออ่อนแอ เงื่อนไขเหมาะแก่การเกิดหน่อ ไม่เหมาะแก่การพัฒนาของดอก ขาดออกซิเจนและแสง อาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ เชื้อที่ใช้ไม่ดี มีคุณภาพต่ำ มีจุลินทรีย์ต่างๆรบกวน การถ่ายเทอากาศไม่ดี ความชื้นสูงเกินไปและรดน้ำมากเกินไป เกิดจากการใช้สารเคมีในช่วงเปิดดอก
การแก้ไข เปลี่ยนเชื้อใหม่ ปรับเงื่อนไขของการเกิดดอก เพิ่มการถ่ายเทอากาศ เพิ่มช่องแสง
ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบ ใช้เชื้อที่มีอัตราการเดินเส้นใยดี ปรับโรงเรือนไม่ให้เหมาะกับจุลินทรีย์ เพิ่มการถ่ายเทอากาศ ลดความชื้นลง ควรเลิกใช้สารเคมีในช่วงเปิดดอก
7. เกิดดอกเพียงรุ่นเดียวรุ่นต่อไปไม่เกิด
สาเหตุ อาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอ เกิดการปนเปื้อน การจัดโรงเรือนไม่ดี เชื้อไม่ดี
การแก้ไข ปรับสูตรอาหารใหม่ จัดการเรื่องสุขอนามัยฟาร์ม ปรับเรื่องแสง อุณหภูมิ ความชื้น ขูดลอกผิวส่วนที่ปากถุงออก ปรับปรุงวิธีการจัดการและเอาใจใส่มากขึ้น เปลี่ยนเชื้อใหม่
# เพิ่มเติม : เห็ดเป็นพืชที่มีการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งเร้าภายนอกอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นปัญหาที่พบถ้าได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องและทันท่วงที ก็จะทำให้เห็ดนางฟ้าเจริญเติบโตได้ดีขึ้น และ เป็นเห็ดที่มีคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดนางฟ้า
1. การเตรียมโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดนางฟ้า
สำหรับโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้านั้นควรมีขนาด 2 x 15 x 2 (กว้าง x ยาว x สูง) เมตร ซึ่งจะวางก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้ประมาณ 4,000 ก้อน โรงเรือนควรเป็นแบบที่สร้างง่าย ลงทุนน้อย และวัสดุที่จะนำมาสร้างเป็นโรงเรือนนั้นจะต้องหาง่ายที่มีอยู่ในท้องถิ่น เป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ฟาง, หญ้าแฝก, ไม้ไผ่ เป็นต้น สำหรับการสร้างโรงเรือนให้เหมาะสมนั้นควรสร้างในที่เย็นชื้นและสะอาดปราศจากศัตรูของเห็ดที่จะเข้ามารบกวน หลังคามุงจากหรือแฝก แล้วคลุมทับด้วยสะแลนอีก 1 ชิ้น การคลุมหลังคาขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ดด้วย เพื่อป้องกันลม ลมแรง ลมค่อย ลมหนาว ลมแห้งแล้ง สภาพลม สภาพอากาศ มีผลกระทบต่อการออกดอกของเห็ดได้เช่นเดียวกัน ปิดประตูด้วยกระสอบป่านหรือแผ่นยาง ปูพื้นด้วยทราย เพื่อเก็บความชื้น ทิศทางลม ก้อมีส่วนสำคัญในการโรงเพาะเห็ด ต้องดูทิศทางของลมเหนือลมใต้ เพื่อป้องกันการพัดพาเชื้อโรค ที่จะมีผลต่อก้อนเห็ด และการออกดอกของเห็ด
การสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้าขนาด 2 x 15 x 2 มีทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ซึ่งแต่ละด้านสามารถเก็บก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้ถึง 1,000 ก้อน ซึ่งการทำโรงเรือนในลักษณะนี้ ใช้พื้นที่รวมแล้วแค่ประมาณ 60 ตารางเมตรเท่านั้น วัสดุในการทำงานก็ใช้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ ไม้ยูคา หรือ อื่น ๆ ตัวเสาก็อาจจะใช้ไม้ที่มีขนาดใหญ่เพื่อความแข็งแรงของโรงเรือน หลังคาก็ใช้หญ้าแฝก ซึ่งเป็นวัสดุที่เหมาะกับการทำโรงเรือนเป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถกักเก็บความร้อนชื้นได้ดี เป็นภูมิอากาศที่เห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าชอบ
ขั้นตอนที่ 2 การทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางฟ้า
วิธีการทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
การทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางฟ้านั้นจำเป็นต้องหาวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมดังนี้ ได้แก่ขี้เลื่อยยางพาราหรือขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อน แต่ในทางปฏิบัตินั้นขี้เลื่อยยางพาราจะให้ผลดีที่สุด จากนั้นก็หาส่วนผสมต่างๆเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารมากยิ่งขึ้น และสูตรการทำก้อนเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้ามีส่วนผสมหลัก ๆดังนี้
ขี้เลื่อยยางพาราแห้งสนิท 100 กิโลกรัม
รำละเอียด 6 – 8 กิโลกรัม
ข้าวโพดป่น 3 – 5 กิโลกรัม
ปูนยิบซัม 1 กิโลกรัม
หินปูนหรือผงชอล์ก 1 กิโลกรัม
ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
น้ำ 80 กิโลกรัม
EM 1 ลิตร
เมื่อหาส่วนผสมมาครบแล้ว ก็ทำการตากและกองขี้เลื่อยยางพาราไว้ประมาณ 7 วัน จากนั้นค่อยทำการผสมโดยการเติมน้ำลงประมาณ 70 เปอร์เซนต์ ทดสอบโดยการกำส่วนผสมถ้ามีน้ำซึมตามง่ามมือแสดงว่าการผสมนี้ผสมน้ำมากเกินไปแต่ถ้าเมื่อบีบแล้วขี้เลื่อยแตกเป็น 3 ก้อนแสดงว่าการผสมใช้ได้เรียกว่าพอดีแล้วแต่ถ้าว่าถ้ากำแล้วแบมือออกแล้วขี้เลื่อยจับตัวไม่เป็นก้อนแสดงว่าเติมน้ำน้อยจนเกินไป เมื่อผสมเข้ากันได้ที่แล้วก็ทำการกรอกใส่ถุงเพาะเห็ด ใส่ให้ได้น้ำหนักประมาณ 800 – 900 กรัม หลังจากนั้นก็ทำการรวบปากถุงกระทุ้งกับพื้นให้แน่นพอประมาณหลังจากนั้นก็ทำการใส่คอขวด
ขั้นตอนที่ 3 การหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางฟ้า
การหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางฟ้า
เมื่อทำก้อนเชื้อเสร็จแล้ว เราก็จะนำก้อนเชื้อที่ได้ทำการหยอดเชื้อและบ่มเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าตามลำดับ โดยก่อนอื่นก้อนเชื้อที่ได้นั้นเราก็จะนำมาทำการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ ถ้ามีหม้อนึ่งความดันอยู่แล้วก็ให้นึ่งที่ความดัน 25 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว โดยทำการนึ่งที่ระยะเวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีหม้อนึ่งความดันอาจใช้หม้อนึ่งจากถังน้ำมัน 200 ลิตร แทนก็ได้ แต่จะต้องทำการนึ่งประมาณ 3 ครั้ง โดยทำการนึ่งที่อุณหภูมิ 100 อาศาเซลเซียส นึ่งที่ระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง และทำการนึ่งทั้งหมด 3 ครั้ง เมื่อผ่านขั้นตอนการนึ่งฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว เราก็จะทำการหยอดเชื้อเห็ดลงสู่ก้อนเชื้อ เชื้อเห็ดจากเมล็ดข้าวฟ่างควรหยอดเชื้อลงประมาณ 20 – 25 เมล็ด เมื่อหยอดเชื้อลงสู่ก้อนเชื้อเห็ดเสร็จแล้ว ให้ทำการปิดปากถุงก้อนเชื้อให้เรียบร้อย หลังจากทำการหยอดเชื้อลงในก้อนเชื้อเสร็จ เราก็จะทำการบ่มเชื้อเห็ดในอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยการบ่มเชื้อนั้นต้องนำก้อนไปบ่มไว้ที่ระยะเวลาประมาณ 20-25 วัน กรรมวิธีการบ่มก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ต้องเก็บให้เป็นระเบียบ ไม่ถูกแดด ไม่ถูกฝน ลมไม่โกรกไม่มีแมลง ไม่มีหนู อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ขั้นตอนที่ 4 การเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางฟ้า
การเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
หลังจากที่ได้เราทำการบ่มเชื้อเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นช่วงระยะเวลาของการเปิดดอกและทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าจะออกดอกเมื่อมีความชื้นสูงพออากาศไม่ร้อนมาก เมื่อถูกเหนี่ยวนำด้วยอากาศเย็นตอนกลางคืนก็จะออกดอกได้ดี เทคนิคที่ทำให้ออกดอกสม่ำเสมอและดอกใหญ่สามารถทำได้ดังนี้ เมื่อเก็บดอกเสร็จต้องทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อโดยเขี่ยเศษเห็ดออกให้หมด งดให้น้ำสัก 3 วัน เพื่อให้เชื้อฟักตัวแล้วก็กลับมาให้น้ำอีกตามปกติเห็ดก็จะเกิดเยอะเหมือนเดิมหรือเมื่อเก็บดอกเห็ดเสร็จก็ทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อเหมือนเดิม แล้วรัดปากถุงไม่ให้อากาศเข้าทิ้งระยะเวลาประมาณ 2 – 3 วัน ให้น้ำปกติหลังจากนั้นก็เปิดปากถุงก็จะเกิดดอกที่สม่ำเสมอเป็นการเหนี่ยวนำให้ออกดอกพร้อมกัน เมื่อเห็ดออกดอกและบานจนได้ขนาดที่ต้องการแล้ว ให้เก็บดอกโดยจับที่โคนดอกทั้งช่อ โยกซ้ายขวา-บนล่าง แล้วดึงออกจากถุงเห็ด ระวังอย่าให้ปากถุงเห็ดบาน ถ้าดอกเห็นโคนขาดติดอยู่ให้แคะออกทิ้งให้สะอาดเพื่อป้องกันการเน่าเสีย เป็นสาเหตุทำให้เกิดหนอนจากการวางไข่ของแมลงได้ การดูลักษณะดอกเห็ดที่ควรเก็บ คือดอกไม่แก่ หรืออ่อนจนเกินไป ดูที่ขอบดอกยังงุ้มอยู่คือดอกที่เหมาะแก่การเก็บเกี่ยว ถ้าขอบยกขึ้นแสดงว่าแก่แล้ว ดอกเห็ดที่แก่จัด และออกสปอร์เป็นผงขาวด้านหลังดอกเห็ด ต้องรีบเก็บออก เพราะสปอร์จะเป็นตัวชักนำให้แมลงเข้ามาในโรงเรือนเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าได้
ขั้นตอนที่ 5 ปัญหาที่พบในการเพาะเห็ดนางฟ้า
ปัญหาที่พบในการเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้า
เราสามารถวิเคราะห์ปัญหาในการเพาะเห็ดนางรม และเห็ดนางฟ้าออกมาได้ 7 ข้อหลัก ๆ ดังนี้
1. เชื้อในถุงไม่เดิน
สาเหตุ ขณะหยอดเชื้อถุงก้อนเชื้อร้อนเกิน เชื้ออ่อนแอเกินไป และลืมหยอดเชื้อ
วิธีแก้ไข ตั้งก้อนเชื้อให้เย็นอย่างน้อย 24 ชั่งโมง คัดเชื้ออ่อนแอทิ้ง ก่อนหยอดเชื้อ ขณะหยอดเชื้อต้องมีสติ และสมาธิแน่นแน่
2. หนอนแมลงหวี่กินเส้นใย
สาเหตุ แมลงหวี่ไข่ไว้ที่ฝาจุกหรือสำลี
วิธีแก้ไข ตรวจสอบสุขภาพอนามัยของโรงเรือน จุก สำลี ต้องนึ่งฆ่าเชื้อ สำลีต้องอุดให้แน่น ปิดกระดาษให้สนิทอย่าให้มีช่อง
3. เชื้อเดิน แต่หยุด มีกลิ่นบูด มีน้ำเมือก มีสีเหลือง เขียว หรือสีดำ
สาเหตุ มีราหรือแบคทีเรียปนเปื้อน นึ่งฆ่าเชื้อไม่หมด นึ่งฆ่าเชื้อดีแต่กระบวนการลดความร้อนและเปิดหม้อนึ่งไม่ถูกต้อง เชื้อเห็ดที่ใช้ไม่มีคุณภาพ วิธีการหยอดเชื้อไม่ดี บ่มถุงก้อนเชื้อหนาแน่นเกินไปทำให้การระบายอากาศไม่ดี มีคาร์บอนไดออกไซค์มาก
วิธีแก้ไข ให้ทบทวนสาเหตุหลักของการปนเปื้อน ตรวจกระบวนการนึ่ง เรื่อง เวลา อุณหภูมิ จำนวนก้อน ไล่อากาศในหม้อนึ่ง ค่อยๆลดความร้อน อย่าเปิดหม้อนึ่งอย่ารวดเร็ว ตรวจดูจุกสำลีว่าแน่นหรือไม่ ใช้เชื้อเห็ดที่บริสุทธิ์ อบรมวิธีการปลอดเชื้อ และปรับปรุงวิธีทำงาน ห้องบ่มเชื้อควรมีอุณหภูมิ 25 – 30 องศาเซลเซียส ปรับปรุงเรื่องสุขอนามัยฟาร์ม
4. เชื้อเดินเต็มก้อน แต่ไม่ออกดอก
สาเหตุ เชื้อเป็นหมัน เชื้อไม่ดี สภาพแวดล้อมในโรงเรือนไม่เหมาะสม มีสิ่งปนเปื้อน เช่น รา ไร แบคทีเรีย หนอน และมีการใช้สารเคมีมากเกินไป
วิธีแก้ไข จัดหาเชื้อใหม่ จัดสภาพในโรงเรือนให้เหมาะสม จัดสุขอนามัยฟาร์ม แสง อุณหภูมิ ความชื้น การถ่ายเทอากาศ และไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดแมลง
5. เกิดดอกเห็ดแต่ก้านยาวหมวกดอกไม่แผ่ออก
สาเหตุ แสงไม่เพียงพอและมีคาร์บอนไดออกไซค์มากเกินไป
วิธีแก้ไข ปรับแสงให้มากขึ้น จัดให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น
6. เกิดหน่อมากแต่ดอกกลับเติบโตน้อย
สาเหตุ เชื้ออ่อนแอ เงื่อนไขเหมาะแก่การเกิดหน่อ ไม่เหมาะแก่การพัฒนาของดอก ขาดออกซิเจนและแสง อาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ เชื้อที่ใช้ไม่ดี มีคุณภาพต่ำ มีจุลินทรีย์ต่างๆรบกวน การถ่ายเทอากาศไม่ดี ความชื้นสูงเกินไปและรดน้ำมากเกินไป เกิดจากการใช้สารเคมีในช่วงเปิดดอก
การแก้ไข เปลี่ยนเชื้อใหม่ ปรับเงื่อนไขของการเกิดดอก เพิ่มการถ่ายเทอากาศ เพิ่มช่องแสง
ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบ ใช้เชื้อที่มีอัตราการเดินเส้นใยดี ปรับโรงเรือนไม่ให้เหมาะกับจุลินทรีย์ เพิ่มการถ่ายเทอากาศ ลดความชื้นลง ควรเลิกใช้สารเคมีในช่วงเปิดดอก
7. เกิดดอกเพียงรุ่นเดียวรุ่นต่อไปไม่เกิด
สาเหตุ อาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอ เกิดการปนเปื้อน การจัดโรงเรือนไม่ดี เชื้อไม่ดี
การแก้ไข ปรับสูตรอาหารใหม่ จัดการเรื่องสุขอนามัยฟาร์ม ปรับเรื่องแสง อุณหภูมิ ความชื้น ขูดลอกผิวส่วนที่ปากถุงออก ปรับปรุงวิธีการจัดการและเอาใจใส่มากขึ้น เปลี่ยนเชื้อใหม่
# เพิ่มเติม : เห็ดเป็นพืชที่มีการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งเร้าภายนอกอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นปัญหาที่พบถ้าได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องและทันท่วงที ก็จะทำให้เห็ดนางฟ้าเจริญเติบโตได้ดีขึ้น และ เป็นเห็ดที่มีคุณภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561
((แชร์เลย)) เคล็ดลับ!! เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ธรรมดาให้กลายเป็นกระเป๋าเรียกทรัพย์ เสริมดวง เสริมโชคลาภ ((คลิกดูเลย))
((แชร์เลย)) เคล็ดลับ!! เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ธรรมดาให้กลายเป็นกระเป๋าเรียกทรัพย์ เสริมดวง เสริมโชคลาภ ((คลิกดูเลย))
กระเป๋าสตางค์เสริมดวง กระเป๋าเงินเสริมโชคลาภ กระเป๋ามงคล
เสริมดวงด้วยกระเป๋าสตางค์ให้ถูกโฉลกกับบุคคลที่เกิดในแต่ละวัน
กระเป๋าสตางค์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนั้น แม้มองเพียงผิวเผินอาจจะเป็นเสมือนที่เก็บเงินของเราเพื่อหยิบใช้จ่ายเวลาไปไหนมาไหน หรือมองให้มากขึ้นอีกสักนิดก็เป็นเหมือนแฟชั่นข้างกาย ที่สามารถบ่งบอกถึงรสนิยมของคุณได้
แต่จริงๆ แล้ว การเลือกกระเป๋าสตางค์ให้ดีและเหมาะสมกับตัวคุณนั้นหรือที่เรียกว่าเลือกใช้ให้ถูกโฉลก ก็จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมดวงของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วย ฉะนั้นใครจะเหมาะกับกระเป๋าสตางค์สีไหนและควรแมทช์กับเสื้อผ้าอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากคุณแล้ว
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
นิสัยพื้นฐาน : มีความเป็นผู้นำและมีจิตใจที่อ่อนโยน
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : กระเป๋าสตางค์โทนสีน้ำตาล สีเขียว และโทนสีที่สว่างๆ
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีฟ้า สีดำ
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เลือกใส่โทนสีเดียวกับกระเป๋า อย่างโทนสีน้ำตาลที่ใส่ได้ในหลายๆ โอกาสทั้งวันทำงาน และวันสบายๆ ก็ได้ หรือจะใส่กับเสื้อโทนสีสว่างๆ เป็นหลัก อย่างเช่น เขียว แดง ส้ม ก็ดีไม่น้อย
ผู้ที่เกิดวันจันทร์
นิสัยพื้นฐาน : เป็นคนน่ารัก มีนิสัยร่าเริงสดใส เป็นมิตร
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : กระเป๋าสตางค์โทนม่วง หรือน้ำตาล
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีสดๆ แรงๆ อย่างแดง หรือส้มแสด
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เลือกใส่โทนสีน้ำตาลและดำในวันทำงานเพื่อลุคที่สุขุมมากขึ้น และในวันสบายๆ อาจะเลือกใส่โทนสีพาสเทลหรือสีอ่อนๆ ก็ดูเหมาะสมไม่น้อย
ผู้ที่เกิดวันอังคาร
นิสัยพื้นฐาน : เป็นคนโอบอ้อมอารี และชอบการเป็นจุดสนใจ
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : กระเป๋าสตางค์โทนสีชมพู สีส้มสด ชนิดที่ว่าสียิ่งแรงยิ่งดี
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีครีมและสีน้ำตาล
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เสื้อผ้าโทนสีเขียวจะช่วยเสริมดวงและขับบุคลิกคุณให้โดดเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไปกันได้ดีกับกระเป๋าสตางค์สีสดใสของคุณ
ผู้ที่เกิดวันพุธ
นิสัยพื้นฐาน : มีนิสัยร่าเริง เข้ากับผู้อื่นได้ดี
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : กระเป๋าสตางค์โทนสีน้ำตาล สีเขียว และสีครีม
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีชมพู สีดำ และกระเป๋าสตางค์ที่ทำจากหนังสัตว์
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เสื้อผ้าลายทาง ลายขวาง หรือสีพื้นที่ดูสดใส ไม่เน้นโทนเข้มๆ มืดๆ จับคู่กับท่อนล่างโทนสียีนส์ก็เหมาะสมกับคุณเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี
นิสัยพื้นฐาน : มีนิสัยลึกลับน่าค้นหา และเป็นคนมีเสน่ห์
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : สีส้มและสีแสดจะเหมาะสมมาก หรือจะเป็นสีอื่นๆ ที่สดใสก็ได้
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีดำ
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เสื้อผ้าโทนคลาสสิค อย่างเชิ้ตขาว แมทช์กับชิ้นอื่นๆ สีดำ เทา สำหรับวันทำงานก็ใช้ได้ สลับกับวันสบายๆ ในสีสันสดใสเหมือนกับกระเป๋าสตางค์ของคุณ
ผู้ที่เกิดวันศุกร์
นิสัยพื้นฐาน : เป็นคนสนุกสนาน และเป็นที่พึ่งพาของผู้อื่นได้
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : สีฟ้าและสีชมพูจะเหมาะสมที่สุด
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : น้ำตาลเข้ม เทาเข้ม และดำ
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : สีโทนอ่อน อย่างขาว เหลืองอ่อน ฟ้าอ่อน ครีม หรือจะเป็นลวดลายแนววินเทจก็เหมาะกับคุณเช่นกัน
ผู้ที่เกิดวันเสาร์
นิสัยพื้นฐาน : เป็นคนเจ้าความคิด มีความสร้างสรรค์ และน่าค้นหา
สีกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสม : กระเป๋าสตางค์โทนม่วงละสีฟ้า
สีที่ไม่ควรเลือกใช้ : สีเขียวและสีน้ำตาล
เลือกใช้กับเสื้อผ้าอย่างไร : เป็นอีกหนึ่งวันที่เหมาะกับโทนสีคลาสสิค อย่างขาว เทา กรมท่า แดงเข้ม ก็จะช่วยส่งเสริมคุณเป็นอย่างดี
ใครเกิดวันไหนก็ลองเอาไปปรับใช้กันดู แต่ขอย้ำไว้สักนิดว่า เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล ทำตามแล้วไม่ส่งผลเสียแน่นอน ยิ่งถ้าส่งผลดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เราควรทำตามถูกไหมคะ
((แชร์เลย)) แบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ด้วยงบหลักแสนบาท (ชมภาพ)
((แชร์เลย)) แบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ด้วยงบหลักแสนบาท (ชมภาพ)
เจอกันอีกครั้งนะค่ะ วันนี้เรารวบรวมไอเดียการตกแต่งบ้าน เก๋ หลากหลายสไตล์ ด้วยงบประมาณ ราคาถูกหลักแสนบาท บางหลังอาจจะดูถูกหรือเเพงก็ต้องขึ้นอยู่กับวัสดุอุปกรณ์ที่เราใช้สร้างบ้าน ขนาดของบ้าน ราคานี้เป็นราคาเฉพาะบ้าน ไม่รวมของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ รั้ว สระน้ำ สิ่งของอำนวยความสะดวก เครื่องใช้ภายนอกต่างๆ วันนี้ ได้นำไอเดียการสร้างบ้านมาแบ่งบันให้กับทุกคน
1.บ้านชั้นเดียว สไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ราคาในงบ 530,000 บาท
ที่มา facebook:SORN.bangkrathum
2.บ้านหลังสีชมพู น่ารัก ขนาดกลาง ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีห้องรับแขก ราคาในงบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:PKS-Design
3.บ้านหลังเล็ก สีฟ้า น่ารัก ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว รวมระบียง รั้ว ถนน ราคาในงบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:idea.app
4.บ้านแบบโมเดิร์น ขนาดเล็ก งบประมาณไม่เกิน 500,000 บาท
ที่มา facebook:modernhomeplan
5.บ้านขนาดเล็ก งบราคาไม่เกิน 370,000 บาท
ที่มา naibann.com
6.บ้านขนาดเล็ก ราคา 480,000 บาท
ที่มา facebook:CabinHom
7.บ้านสวย สีขาวเขียว แนวสดใส แบบเรียบง่าย ราคาไม่เกิน 500,000 บาท คุ้มต้นทุน คุ้มราคา
ที่มา Homeaway
8. บ้านสวย สีโอรส ราคา 480,806 บาท คุ้มค่าคุ้มราคา
ที่มา pantip.com
9.บ้านสีฟ้า สีสดใส ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว ราคางบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:idea.app
10.บ้านสไตล์โมเดิร์น ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องน้ำ 1 ห้องเปล่า ราคาประมาณ 460,000 บาท
ที่มา facebook:nokkrajab.jujub
11.บ้านสวย ขนาดกลาง รวม 6*10.5 ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก
ที่มา facebook:Fa Home
12.บ้านสวนขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งผนังฉาบเรียบโทนสีครีมๆ ดูอบอุ่น สร้างกลิ่นอายแบบย้อนยุคไปในตัว
ที่มา Tinyhouseswoon
13.บ้านคอทเทจขนาดเล็ก มาพร้อมเฉลียงรอบบ้าน สีเขียวพาสเทล เหมาะกับบ้านสวน ด้วยงบประมาณ 400,000 บาท
14.บ้านสวนสไตล์บังกะโล ขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ เหมาะกับแบบบ้านสวน บ้านรูปทรงที่เรียบง่าย หลังคาจั่วที่คุ้นตาคนไทย และเข้ากับสภาพอากาศของบ้านเราได้ดีเยี่ยม
งบอยู่ที่ 4 – 5 แสนบาท (ไม่รวมของตกแต่ง)
ที่มา Tinyhouseswoon
15.กระท่อมท้ายสวน 1 ห้องนอนแบบสตูดิโอ ตกแต่งภายในสวยงาม พร้อมบรรยากาศธรรมชาติรอบบ้าน งบไม่เกิน 2 แสนบาท
ที่มา Tinyhouseswoon
16.แบบบ้านหลังน้อยยกพื้นต่ำ ภายนอกดูเรียบๆ แต่ภายในน่ารักอบอุ่น ตกแต่งสไตล์วินเทจสุดคลาสสิค งบประมาณก่อสร้างราวๆ 500,000 กว่าบาท
17.บ้านน็อคดาวน์ ทรง 8 Curveไอเดียแจ่ม ราคา 2 แสนห้า ตกแต่งเรียบง่าย สบายตา โปร่งโล่ง น่าอยู่สุดๆ
ที่มา facebook:homenockdown
18.บ้านขนาดกลาง ราคา 3-4 แสนบาท
ที่มา chiangraifocus.com
19.บ้านขนาดกลาง สไตล์โมเดิร์น ราคา 3-4 แสนบาท
ที่มา chiangraifocus.com
20.บ้านหลังเล็ก ราคาประมาณ 200,000 บาท เหมาะสำหรับสร้างครอบครัวเล็กอยู่ต่างจังหวัด

1.บ้านชั้นเดียว สไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ราคาในงบ 530,000 บาท
ที่มา facebook:SORN.bangkrathum
2.บ้านหลังสีชมพู น่ารัก ขนาดกลาง ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีห้องรับแขก ราคาในงบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:PKS-Design
3.บ้านหลังเล็ก สีฟ้า น่ารัก ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว รวมระบียง รั้ว ถนน ราคาในงบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:idea.app
4.บ้านแบบโมเดิร์น ขนาดเล็ก งบประมาณไม่เกิน 500,000 บาท
ที่มา facebook:modernhomeplan
5.บ้านขนาดเล็ก งบราคาไม่เกิน 370,000 บาท
ที่มา naibann.com
6.บ้านขนาดเล็ก ราคา 480,000 บาท
ที่มา facebook:CabinHom
7.บ้านสวย สีขาวเขียว แนวสดใส แบบเรียบง่าย ราคาไม่เกิน 500,000 บาท คุ้มต้นทุน คุ้มราคา
ที่มา Homeaway
8. บ้านสวย สีโอรส ราคา 480,806 บาท คุ้มค่าคุ้มราคา
ที่มา pantip.com
9.บ้านสีฟ้า สีสดใส ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว ราคางบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:idea.app
10.บ้านสไตล์โมเดิร์น ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องน้ำ 1 ห้องเปล่า ราคาประมาณ 460,000 บาท
ที่มา facebook:nokkrajab.jujub
11.บ้านสวย ขนาดกลาง รวม 6*10.5 ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก
ที่มา facebook:Fa Home
12.บ้านสวนขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งผนังฉาบเรียบโทนสีครีมๆ ดูอบอุ่น สร้างกลิ่นอายแบบย้อนยุคไปในตัว
ที่มา Tinyhouseswoon
13.บ้านคอทเทจขนาดเล็ก มาพร้อมเฉลียงรอบบ้าน สีเขียวพาสเทล เหมาะกับบ้านสวน ด้วยงบประมาณ 400,000 บาท
14.บ้านสวนสไตล์บังกะโล ขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ เหมาะกับแบบบ้านสวน บ้านรูปทรงที่เรียบง่าย หลังคาจั่วที่คุ้นตาคนไทย และเข้ากับสภาพอากาศของบ้านเราได้ดีเยี่ยม
งบอยู่ที่ 4 – 5 แสนบาท (ไม่รวมของตกแต่ง)
ที่มา Tinyhouseswoon
15.กระท่อมท้ายสวน 1 ห้องนอนแบบสตูดิโอ ตกแต่งภายในสวยงาม พร้อมบรรยากาศธรรมชาติรอบบ้าน งบไม่เกิน 2 แสนบาท
ที่มา Tinyhouseswoon
16.แบบบ้านหลังน้อยยกพื้นต่ำ ภายนอกดูเรียบๆ แต่ภายในน่ารักอบอุ่น ตกแต่งสไตล์วินเทจสุดคลาสสิค งบประมาณก่อสร้างราวๆ 500,000 กว่าบาท
17.บ้านน็อคดาวน์ ทรง 8 Curveไอเดียแจ่ม ราคา 2 แสนห้า ตกแต่งเรียบง่าย สบายตา โปร่งโล่ง น่าอยู่สุดๆ
ที่มา facebook:homenockdown
18.บ้านขนาดกลาง ราคา 3-4 แสนบาท
ที่มา chiangraifocus.com
19.บ้านขนาดกลาง สไตล์โมเดิร์น ราคา 3-4 แสนบาท
ที่มา chiangraifocus.com
20.บ้านหลังเล็ก ราคาประมาณ 200,000 บาท เหมาะสำหรับสร้างครอบครัวเล็กอยู่ต่างจังหวัด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
((แชร์เลย)) สังเกตอาการไวรัส “โควิด-19” คู่มือกักตัวในที่พักอาศัย โดยกรมควบคุมโรค
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์ใน...

-
ตึกแถว 2 ชั้นครึ่ง ภายนอกดูเรียบง่าย เหมือนตึกทั่วไป แต่ภายในกลับถูกตกแต่งอย่างดี กลายเป็นตึกแถวดีไซน์ทันสมัย น่าอยู่ ดูกว้างขวาง สบาย...
-
รับออกแบบและติดตั้ง งานกระจก อลูมิเนียม : ประตูบานเลื่อน ประตูบานสวิง ประตูบานเปิด หน้าต่างบานเลื่อนพร้อมมุ้งลวด หน้าต่างบานเลื่อน ประตูบาน...
-
รับออกแบบและติดตั้ง งานกระจก อลูมิเนียม : ประตูบานเลื่อน ประตูบานสวิง ประตูบานเปิด หน้าต่างบานเลื่อนพร้อมมุ้งลวด หน้าต่างบานเลื่อน ประตูบาน...