ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ให้ประชาชนที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 แยกสังเกตอาการ ณ ที่พักอาศัย โดยมีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวดังนี้
1. การปฏิบัติตนระหว่างกักตัวที่บ้าน
ให้หยุดการไปเรียน ไปทำงาน เข้าร่วมกิจกรรมของสถานที่ที่มีการรวมคนจำนวนมาก
ผู้เดินทางกลับควรนอนแยกห้อง ไม่ออกไปนอกบ้าน ไม่เดินทางไปที่ชุมชนหรือที่สาธารณะอย่างน้อย 14 วัน นับจากวันเดินทางกลับจากพื้นที่ระบาด
รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที กรณีไม่มีน้ำและสบู่ ให้ลูบมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ความเข้มข้นอย่างน้อย 60%
สวมหน้ากากอนามัย และอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ ในบ้านประมาณ 1-2 เมตร หรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลอื่นในที่พักอาศัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ
การทิ้งหน้ากากอนามัย ใช้วิธี ใส่ถุงพลาสติก และปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่ทันที
ปิดปากจมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจาม โดยปิดถึงคาง แล้วทิ้งทิชชูลงในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้ง หรือใช้แขนเสื้อปิดปากจมูกเมื่อไอหรือจาม และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์ หรือน้ำและสบู่ทันที
ทำความสะอาดบริเวณที่ผู้เดินทางกลับพัก เช่น เตียง โต๊ะ บริเวณของใช้รอบ ๆ ตัว รวมถึงห้องน้ำด้วยน้ำยาฟอกขาว 5% โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 99 ส่วน)
ทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้ำ หรือซักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 70-90 องศาเซลเซียส
2. วิธีการสังเกตและแนวทางปฏิบัติเมื่อมีอาการป่วย
กรณีที่มีหอพักและเจ้าหน้าที่ควรจัดให้มีจุดคัดกรองอุณหภูมิด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบมือถือ (Handheld Thermometer) ที่หน้าหอพักในผู้ที่เดินทางจะเข้าออกหอพักทุกคน
ให้ผู้เดินทางสังเกตอาการไข้และอาการระบบทางเดินหายใจ แนะนำให้วัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน
2.1 อาการไข้ ได้แก่
วัดอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือ
มีอาการสังสัยว่ามีไข้ ได้แก่ ตัวร้อน ปวดเนื้อปวดตัว หนาวสั่น
2.2 อาการระบบทางเดินหายใจ ได้แก่
ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก
หากพบอาการป่วยข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบไปพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง โดยขณะเดินทางมาโรงพยาบาลโดยรถยนต์ส่วนตัวให้เปิดหน้าต่างรถยนต์ไว้เสมอ
3. การปฏิบัติตัวของคนในบ้านและการทำลายเชื้อ
ทุกคนในบ้านควรล้างมือบ่อยครั้งที่สุด เพื่อลดการรับและแพร่เชื้อ โดยใช้น้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที กรณีไม่มีน้ำและสบู่ ให้ลูบมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นอย่างน้อย 70%
เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือสมาชิกในบ้าน ภายในระยะเวลา 14 วัน หลังสัมผัสผู้ป่วย
ควรนอนแยกห้องกับผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ
อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้เดินทางกลับ
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดในระยะ 1 เมตร
ทำความสะอาดบริเวณที่ผู้เดินทางกลับพัก เช่น เตียง โต๊ะ บริเณของใช้รอบ ๆ ตัวของผู้ป่วย รวมถึงห้องน้ำ ด้วยน้ำยาฟอกขาว 5% โซเตียมไฮโปคลอไรท์ (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 99 ส่วน)
ทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้ำ หรือซักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 70-90 องศาเซลเซียส
หากมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดห้องพักของผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่ระบาด เช่น แม่บ้าน ควรใส่ชุดป้องกันร่างกาย ได้แก่ หน้ากากอนามัย หมวกคลุมผม แว่นตากันลม ถุงมือยาง รองเท้าบู๊ท และผ้ากันเปื้อนพลาสติก
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2563
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562
((แชร์เลย)) ก่อนวิ่งมาราธอนควรเลือกกินอาหารอะไรดี โภชนาการสำหรับนักวิ่ง
สูตรลับ++ สูตรลับสำหรับนักวิ่ง โภชนาการสำหรับนักวิ่ง
การเตรียมตัวสำหรับนักวิ่ง นอกจากจะมีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้และจำเป็นอย่างยิ่งคือการรับประทานอาหาร ที่จะช่วยให้นักวิ่งมีพละกำลัง และสะสมพลังงานสำรองไว้ใช้ขณะวิ่ง รวมถึงการชดเชยพลังงาน การฟื้นฟูร่างกายภายหลังจากการวิ่ง ดังนั้น นักวิ่งจึงควรมีการวางแผนการรับประทานอาหารเป็นขั้นตอน ช่วงก่อน ระหว่างและหลังการแข่งขันเพื่อให้ร่างกายฟิตสมบูรณ์ที่สุด มีความทนทานและสามารถวิ่งด้วยสมรรถภาพที่ดีไปตลอดการแข่งขัน ซึ่งแบบแผนการรับประทานอาหารแบ่งออกตามช่วงต่างๆ ดังต่อไปนี้
ช่วงที่ 1 : 5 วันก่อนวิ่ง
การเตรียมตัวช่วง 5 วันก่อนแข่งควรเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารให้สูงขึ้นตามระยะเวลาการฝึกซ้อมหรือระยะที่สอดคล้องกับการแข่งขันเพื่อเป็นการสะสมพลังงานสำรองในรูปไกลโคเจน ร่างกายสามารถสะสมไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ 80% ที่ตับ 14% ส่วนอีก 6% จะอยู่ในรูปของน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด
จากงานวิจัยของ ดร.Asker Jeukendrupมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบการวางแผนการรับประทานอาหารของนักวิ่ง เป็นระยะเวลา 11 วันก่อนวิ่ง กลุ่มแรก ใช้คาร์โบไฮเดรตต่ำ ร้อยละ41 กลุ่มที่สองใช้คาร์โบไฮเดรตสูงร้อยละ 65 พบว่า กลุ่มนักวิ่งที่ใช้คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 41 รู้สึกเหนื่อย และอ่อนแรงเร็วขึ้น ขณะที่กลุ่มคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 65สามารถรักษาระดับพลังงานและสมรรถภาพในการวิ่งไปจนจบการแข่งขันได้ จากงานวิจัยสรุปว่า นักวิ่งที่สะสมไกลโคเจนในร่างกายน้อยมีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพร่างกายที่ลดลง มีความเหนื่อยล้ามากขึ้น
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำสำหรับนักวิ่ง ช่วงเตรียมตัว 5 วัน ก่อนวิ่ง
ระยะเวลาในการวิ่ง ปริมาณคาร์โบไฮเดรต
30 นาที - 1 ชั่วโมง / วัน 2-4 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
1-3 ชั่วโมง / วัน 4-6 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
3-4 ชั่วโมง / วัน 5-8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
มากกว่า 4 ชั่วโมง / วัน 8-10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ตัวอย่างเช่น นักวิ่งเพศชาย หนัก 70 กิโลกรัม ฝึกซ้อมการวิ่งมาราธอนเป็นเวลา 3-4 ชั่วโมงต่อวัน มีความต้องการคาร์โบไฮเดรตประมาณ 350 - 560กรัมต่อวัน
ตัวอย่างแป้ง ธัญพืช ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตในอาหาร 15-18 กรัม
ข้าวสวย 5 ช้อนโต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวลวก 8 ช้อนโต๊ะ
ข้าวเหนียวนึ่ง 3 ช้อนโต๊ะ ข้าวโพด ½ ฝัก
ขนมปัง 1 แผ่น ขนมปังเบอร์เกอร์ ½ คู่
วุ้นเส้นลวก/เส้นหมี่ลวก 10 ช้อนโต๊ะ มันหวาน / เผือก ½ ถ้วยตวง
ข้าวโอ๊ต/ซีเรียล ½ ถ้วยตวง โจ๊ก 1 ถ้วยตวง
มักกะโรนี / สปาเก็ตตี้ ½ ถ้วยตวง ข้าวต้ม ¾ ถ้วยตวง
แครกเกอร์ 2.5x2.5 นิ้ว 2 แผ่น ขนมจีน 1 จับเล็ก
คุ๊กกี้ 2 ชิ้น บราวนี่ 1 ชิ้น
โดนัท 1 ชิ้น แยม 1 ช้อนโต๊ะ
ช็อคโกแลต 4 ชิ้น วุ้นกะทิ 1 ชิ้น
การเลือกชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานพบว่า การผสมผสานระหว่างคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนให้ประสิทธิภาพในการส่งเสริมสมรรถภาพของนักวิ่งได้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ 2 : 1 วันก่อนวิ่ง
รับประทานอาหารอาหารปกติ เมนูที่คุ้นเคย หรือที่เคยรับประทานอยู่เป็นประจำให้ครบมื้อ ปริมาณข้าวแป้ง คาร์โบไฮเดรตสูงเท่าเดิมเหมือน 5 วันที่ผ่านมา รับประทานแหล่งของโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ย่อยง่าย เช่น ปลานึ่ง ปลาย่าง ไก่ย่างไม่ติดหนัง ผัดผัก ผักลวก งดรับประทานผักสดและผลไม้ปริมาณมาก งดอาหารประเภท ส้มตำ ยำรสจัด อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารทะเลปิ้งย่าง ปลาดิบ อาหารกากใยสูง ถั่วต่างๆ ปริมาณมาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือกระตุ้นการขับถ่ายท้องช่วงก่อนวิ่งในวันรุ่งขึ้น
ช่วงที่ 3 : 1-2 ชั่วโมงก่อนวิ่ง
โดยปกติการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอน มักจะจัดขึ้นช่วงเช้ามืด ดังนั้น นักวิ่งควรมีการเตรียมพร้อมร่างกายและเตรียมตัวรับประทานอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนลงทำการแข่งขัน
ตัวอย่างอาหารที่เหมาะสมในช่วงนี้ ควรเป็นอาหารย่อยง่ายให้พลังงานสูง เช่น มันหวาน ข้าวโอ๊ตขนมปังทาแยม แซนวิชทูน่า วาฟเฟิ้ล โดนัท ขนมปังสังขยา ขนมปังลูกเกด ครัวซอง บัตเตอร์เค้ก ข้าวเหนียวหมูหวาน/หมูฝอย ข้าวเหนียวสังขยา โจ๊กใส่ไข่ หลีกเลี่ยงอาหารทอด ไขมันสูง ย่อยยาก กากใยสูง หรือ นักวิ่งบางรายที่ดื่มนมหรือกาแฟตอนเช้ามักจะมีอาการท้องเสีย หรือกระตุ้นการขับถ่าย อาจจะต้องงด กลุ่มนมหรือกาแฟไปก่อนในวันแข่งขัน
ช่วงที่ 4 : ขณะวิ่ง
ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรต 30-60 กรัมต่อชั่วโมงในการวิ่งเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การวิ่งอาหารที่เหมาะสมสำหรับนักวิ่งช่วงนี้ ควรจะอยู่ในรูปแบบน้ำ เจล แบบเม็ดเคี้ยวง่ายๆ ย่อยง่ายไม่หนักท้อง แน่นท้อง เช่น เจลซองพร้อมดื่มสำหรับนักกีฬา เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ ช็อคโกแลต เยลลี่เป็นต้น
ส่วนการดื่มน้ำขณะวิ่ง ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมากทีเดียว เนื่องอาจจะทำให้เกิดการจุก แน่นท้อง ควรจิบปริมาณน้อยๆ เรื่อยๆ ตามจุดที่พักให้น้ำ
ช่วงที่ 5 : หลังวิ่ง ภายใน 1 ชั่วโมง
ภายหลังจากการวิ่งเสร็จ ร่างกายจะเกิดภาวะพร่องไกลโคเจน จึงจำเป็นต้องชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปขณะวิ่ง หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือช้าไป อาจทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนล้า ฟื้นตัวช้า เกิดการบาดเจ็บสะสมได้ง่าย สารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือ คาร์โบไฮเดรตเพื่อให้พลังงานและเติมไกลโคเจนกลับคืนให้แก่ร่างกาย
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการวิ่งควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว เพื่อนำไปใช้ชดเชยพลังงานอย่างทันทีทันใด รวมไปถึงแร่ธาตุที่จำเป็นได้แก่โซเดียม ได้แก่ เครื่องดื่มนักกีฬา นมช็อคโกแลต น้ำผลไม้ ขนมปังสังขยา วาฟเฟิ้ล โดนัท บัตเตอร์เค้ก ยังรวมไปถึงผลไม้ ที่มีน้ำมากและแร่ธาตุโพแทสเซียม เช่น แตงโม สับปะรด ส้ม กล้วย เป็นต้น
นอกจากนี้โปรตีนยังจำเป็นในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวและกลับมาสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว ลดอาการล้า อ่อนเพลีย และฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายหลังจากการวิ่งได้ ตัวอย่างอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่เหมาะสมภายหลังการวิ่ง ได้แก่ นมสด, นมถั่วเหลือง, ลูกชิ้นปิ้ง โปรตีนบาร์ เวย์โปรตีน, ซาลาเปาหมูสับ, ขนมจีบ, แซนวิชทูน่า, ไข่ต้ม, ถั่ว, ขนมถั่วกวน
ภายหลังจากการวิ่งหากน้ำหนักตัวลดลง ปากแห้ง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม เวียนศีรษะ อ่อนเพลียแสดงว่าร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำเป็นอย่างมาก ควรดื่มน้ำอุณหภูมิเย็นพอควรเพื่อดับกระหาย ให้สดชื่นและชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในขณะวิ่งให้เพียงพอ จนกระทั่งอาการดังกล่าวดีขึ้น
ข้อมูล: เอกสิทธิ์ จิตธรรม นักกำหนดอาหารวิชาชีพ โรงพยาบาลกรุงเทพ
การเตรียมตัวสำหรับนักวิ่ง นอกจากจะมีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้และจำเป็นอย่างยิ่งคือการรับประทานอาหาร ที่จะช่วยให้นักวิ่งมีพละกำลัง และสะสมพลังงานสำรองไว้ใช้ขณะวิ่ง รวมถึงการชดเชยพลังงาน การฟื้นฟูร่างกายภายหลังจากการวิ่ง ดังนั้น นักวิ่งจึงควรมีการวางแผนการรับประทานอาหารเป็นขั้นตอน ช่วงก่อน ระหว่างและหลังการแข่งขันเพื่อให้ร่างกายฟิตสมบูรณ์ที่สุด มีความทนทานและสามารถวิ่งด้วยสมรรถภาพที่ดีไปตลอดการแข่งขัน ซึ่งแบบแผนการรับประทานอาหารแบ่งออกตามช่วงต่างๆ ดังต่อไปนี้
ช่วงที่ 1 : 5 วันก่อนวิ่ง
การเตรียมตัวช่วง 5 วันก่อนแข่งควรเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารให้สูงขึ้นตามระยะเวลาการฝึกซ้อมหรือระยะที่สอดคล้องกับการแข่งขันเพื่อเป็นการสะสมพลังงานสำรองในรูปไกลโคเจน ร่างกายสามารถสะสมไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ 80% ที่ตับ 14% ส่วนอีก 6% จะอยู่ในรูปของน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด
จากงานวิจัยของ ดร.Asker Jeukendrupมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบการวางแผนการรับประทานอาหารของนักวิ่ง เป็นระยะเวลา 11 วันก่อนวิ่ง กลุ่มแรก ใช้คาร์โบไฮเดรตต่ำ ร้อยละ41 กลุ่มที่สองใช้คาร์โบไฮเดรตสูงร้อยละ 65 พบว่า กลุ่มนักวิ่งที่ใช้คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 41 รู้สึกเหนื่อย และอ่อนแรงเร็วขึ้น ขณะที่กลุ่มคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 65สามารถรักษาระดับพลังงานและสมรรถภาพในการวิ่งไปจนจบการแข่งขันได้ จากงานวิจัยสรุปว่า นักวิ่งที่สะสมไกลโคเจนในร่างกายน้อยมีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพร่างกายที่ลดลง มีความเหนื่อยล้ามากขึ้น
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำสำหรับนักวิ่ง ช่วงเตรียมตัว 5 วัน ก่อนวิ่ง
ระยะเวลาในการวิ่ง ปริมาณคาร์โบไฮเดรต
30 นาที - 1 ชั่วโมง / วัน 2-4 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
1-3 ชั่วโมง / วัน 4-6 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
3-4 ชั่วโมง / วัน 5-8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
มากกว่า 4 ชั่วโมง / วัน 8-10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ตัวอย่างเช่น นักวิ่งเพศชาย หนัก 70 กิโลกรัม ฝึกซ้อมการวิ่งมาราธอนเป็นเวลา 3-4 ชั่วโมงต่อวัน มีความต้องการคาร์โบไฮเดรตประมาณ 350 - 560กรัมต่อวัน
ตัวอย่างแป้ง ธัญพืช ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตในอาหาร 15-18 กรัม
ข้าวสวย 5 ช้อนโต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวลวก 8 ช้อนโต๊ะ
ข้าวเหนียวนึ่ง 3 ช้อนโต๊ะ ข้าวโพด ½ ฝัก
ขนมปัง 1 แผ่น ขนมปังเบอร์เกอร์ ½ คู่
วุ้นเส้นลวก/เส้นหมี่ลวก 10 ช้อนโต๊ะ มันหวาน / เผือก ½ ถ้วยตวง
ข้าวโอ๊ต/ซีเรียล ½ ถ้วยตวง โจ๊ก 1 ถ้วยตวง
มักกะโรนี / สปาเก็ตตี้ ½ ถ้วยตวง ข้าวต้ม ¾ ถ้วยตวง
แครกเกอร์ 2.5x2.5 นิ้ว 2 แผ่น ขนมจีน 1 จับเล็ก
คุ๊กกี้ 2 ชิ้น บราวนี่ 1 ชิ้น
โดนัท 1 ชิ้น แยม 1 ช้อนโต๊ะ
ช็อคโกแลต 4 ชิ้น วุ้นกะทิ 1 ชิ้น
การเลือกชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานพบว่า การผสมผสานระหว่างคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนให้ประสิทธิภาพในการส่งเสริมสมรรถภาพของนักวิ่งได้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ 2 : 1 วันก่อนวิ่ง
รับประทานอาหารอาหารปกติ เมนูที่คุ้นเคย หรือที่เคยรับประทานอยู่เป็นประจำให้ครบมื้อ ปริมาณข้าวแป้ง คาร์โบไฮเดรตสูงเท่าเดิมเหมือน 5 วันที่ผ่านมา รับประทานแหล่งของโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ย่อยง่าย เช่น ปลานึ่ง ปลาย่าง ไก่ย่างไม่ติดหนัง ผัดผัก ผักลวก งดรับประทานผักสดและผลไม้ปริมาณมาก งดอาหารประเภท ส้มตำ ยำรสจัด อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารทะเลปิ้งย่าง ปลาดิบ อาหารกากใยสูง ถั่วต่างๆ ปริมาณมาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือกระตุ้นการขับถ่ายท้องช่วงก่อนวิ่งในวันรุ่งขึ้น
ช่วงที่ 3 : 1-2 ชั่วโมงก่อนวิ่ง
โดยปกติการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอน มักจะจัดขึ้นช่วงเช้ามืด ดังนั้น นักวิ่งควรมีการเตรียมพร้อมร่างกายและเตรียมตัวรับประทานอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนลงทำการแข่งขัน
ตัวอย่างอาหารที่เหมาะสมในช่วงนี้ ควรเป็นอาหารย่อยง่ายให้พลังงานสูง เช่น มันหวาน ข้าวโอ๊ตขนมปังทาแยม แซนวิชทูน่า วาฟเฟิ้ล โดนัท ขนมปังสังขยา ขนมปังลูกเกด ครัวซอง บัตเตอร์เค้ก ข้าวเหนียวหมูหวาน/หมูฝอย ข้าวเหนียวสังขยา โจ๊กใส่ไข่ หลีกเลี่ยงอาหารทอด ไขมันสูง ย่อยยาก กากใยสูง หรือ นักวิ่งบางรายที่ดื่มนมหรือกาแฟตอนเช้ามักจะมีอาการท้องเสีย หรือกระตุ้นการขับถ่าย อาจจะต้องงด กลุ่มนมหรือกาแฟไปก่อนในวันแข่งขัน
ช่วงที่ 4 : ขณะวิ่ง
ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรต 30-60 กรัมต่อชั่วโมงในการวิ่งเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การวิ่งอาหารที่เหมาะสมสำหรับนักวิ่งช่วงนี้ ควรจะอยู่ในรูปแบบน้ำ เจล แบบเม็ดเคี้ยวง่ายๆ ย่อยง่ายไม่หนักท้อง แน่นท้อง เช่น เจลซองพร้อมดื่มสำหรับนักกีฬา เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ ช็อคโกแลต เยลลี่เป็นต้น
ส่วนการดื่มน้ำขณะวิ่ง ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมากทีเดียว เนื่องอาจจะทำให้เกิดการจุก แน่นท้อง ควรจิบปริมาณน้อยๆ เรื่อยๆ ตามจุดที่พักให้น้ำ
ช่วงที่ 5 : หลังวิ่ง ภายใน 1 ชั่วโมง
ภายหลังจากการวิ่งเสร็จ ร่างกายจะเกิดภาวะพร่องไกลโคเจน จึงจำเป็นต้องชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปขณะวิ่ง หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือช้าไป อาจทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนล้า ฟื้นตัวช้า เกิดการบาดเจ็บสะสมได้ง่าย สารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือ คาร์โบไฮเดรตเพื่อให้พลังงานและเติมไกลโคเจนกลับคืนให้แก่ร่างกาย
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการวิ่งควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว เพื่อนำไปใช้ชดเชยพลังงานอย่างทันทีทันใด รวมไปถึงแร่ธาตุที่จำเป็นได้แก่โซเดียม ได้แก่ เครื่องดื่มนักกีฬา นมช็อคโกแลต น้ำผลไม้ ขนมปังสังขยา วาฟเฟิ้ล โดนัท บัตเตอร์เค้ก ยังรวมไปถึงผลไม้ ที่มีน้ำมากและแร่ธาตุโพแทสเซียม เช่น แตงโม สับปะรด ส้ม กล้วย เป็นต้น
นอกจากนี้โปรตีนยังจำเป็นในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวและกลับมาสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว ลดอาการล้า อ่อนเพลีย และฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายหลังจากการวิ่งได้ ตัวอย่างอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่เหมาะสมภายหลังการวิ่ง ได้แก่ นมสด, นมถั่วเหลือง, ลูกชิ้นปิ้ง โปรตีนบาร์ เวย์โปรตีน, ซาลาเปาหมูสับ, ขนมจีบ, แซนวิชทูน่า, ไข่ต้ม, ถั่ว, ขนมถั่วกวน
ภายหลังจากการวิ่งหากน้ำหนักตัวลดลง ปากแห้ง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม เวียนศีรษะ อ่อนเพลียแสดงว่าร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำเป็นอย่างมาก ควรดื่มน้ำอุณหภูมิเย็นพอควรเพื่อดับกระหาย ให้สดชื่นและชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในขณะวิ่งให้เพียงพอ จนกระทั่งอาการดังกล่าวดีขึ้น
ข้อมูล: เอกสิทธิ์ จิตธรรม นักกำหนดอาหารวิชาชีพ โรงพยาบาลกรุงเทพ
((แชร์เลย)) สถานที่เคาท์ดาวน์ ปีใหม่ 2562 ทั่วไทย ชมพลุ ดอกไม้ไฟ แสงสีเสียง
เวลาผ่านไปไว้เหมือนโกหก อีกไม่นานก็ใกล้ถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันอีกแล้ว หลายคนวางแผนไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง ส่วนใครที่อยากเฉลิมฉลอง ไปชมพลุ ดูดอกไม้ไฟ แสงสีเสียง พร้อมนับถอยหลัง 5 4 3 2 1 ดังกึกก้อง วันนี้ Travel MThai ก็ได้รวบรวม สถานที่เคาท์ดาวน์ ปีใหม่ 2562 มาให้เลือกกันจาก 15 แห่ง ทั่วประเทศไทย รับรองว่าสวยงามอลังการแบบไม่มีใครยอมใคร สะดวกที่ไหน ก็เชิญไปได้เลยค่า
1. ศูนย์การค้า Central World
กรุงเทพ

2. Asiatique Thailand Countdown 2019
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์, กรุงเทพ
เครื่องดื่มตราช้าง พรีเซนต์ “Asiatique Thailand Countdown 2019” เนรมิตการจัดงานเคาท์ดาวน์ระดับประเทศ ภายใต้ธีม The Tomorrow Port ตื่นตาไปกับพลุไฟสุดตระการตา กลางแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วยคอนเสิร์ตสุดมันส์ที่จัดเต็มแบบไม่ยั้ง จากศิลปิน ดารายอดนิยม ในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ประตูเปิดห้าโมงเย็นเป็นต้นไป
3. Mega Countdown 2019
เมกาบางนา, จ.สมุทรปราการ
งานมหกรรม Mega Countdown 2019 ปีนี้ขนทัพศิลปินชั้นนำมาส่งความสุขท้ายปีกันแบบจัดหนักจัดเต็ม ทั้ง ปาล์มมี่, The Toys, Room 39, Modern Dog, Paradox, Big Ass, โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน และ ป๊อบ-ปองกูล ร่วมด้วยทีมดีเจที่จะปลุกเสต็ปแดนซ์ในตัวคุณให้สนุกสุดเหวี่ยงกับแสงสีเสียงบนเวที พร้อมนับถอยหลังข้ามปีไปด้วยกัน ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ที่ห้างสรรพสินค้า เมกาบางนา จังหวัดสมุทรปราการ
4. ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์
รังสิต, จ.ปทุมธานี
งาน FUTURE PARK & ZPELL COUNTDOWN 2019 พบกับทัพศิลปินชื่อดัง โอปอ ประพุทธ์, Tabasco, Yes’sir Days, หนุ่ม กะลา, Room39, Slot Matchine ร่วมด้วยนักแสดงสุดหล่ออย่าง ปั้นจั่น ปรมะ และ เคน ภูภูมิ ที่จะพาเราก้าวข้ามปีไปพร้อมกัน อีกทั้งยังได้ช้อป ชิม ชิลล์ จากร้านค้าสุดชิค และเมนูอร่อยจาก Food Truck รวมถึงบูธอาหารมากมาย ที่มีให้เลือกอิ่มแบบไม่อั้น ในกิจกรรม Countdown Market วันที่ 31 ธ.ค. 61 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป บริเวณลานจอดด้านหน้าศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค
ทางด้านศูนย์การค้า Zpell ก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวงาน Winter Backyard At Zpell เทศกาลชิว ๆ กลางสายลมหนาว ที่มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และดนตรีจากศิลปินดัง อาทิ Jetset’er, Clash, สงกรานต์ รังสรรค์ ฯลฯ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 1 ม.ค. 62 ลานเปิดให้บริการ 17.00 น. – 24.00 น.
5. Mono29 Pattaya Countdown 2019
พัทยา, จ.ชลบุรี
เมืองพัทยา ร่วมกับ ช่องโมโนทเวนตี้ไนน์ ฟรีทีวีที่มีหนังดีซีรีส์ดังมากที่สุด ชวนคุณมาร่วมเฉลิมฉลอง นับถอยหลังสู่ปี 2019 อย่างยิ่งใหญ่ ในงาน “Mono29 Pattaya Countdown 2019 : Universe of Entertainment สนุกสุดขอบจักรวาล” เตรียมพบความสนุก และความบันเทิงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น CONCERT จากทัพศิลปินชื่อดัง ให้คุณได้มันส์กันสุดเหวี่ยง อาทิ RETROSPECT, ป้าง นครินทร์ , เอ๊ะ จิรากร , สแตมป์ อภิวัฒน์ , เบน ชลาทิศ , ROOM39 , สิงโต นำโชค , ศิลปินจาก MONO MUSIC ฯลฯ พร้อมการแสดงพลุไฟ ประกอบแสง สี เสียง สุดตระการตา ณ ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวเมืองพัทยา (แหลมบาลีฮาย) ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป หรือชมการถ่ายทอดสดทางช่อง Mono29
6. อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2562
จ.สมุทรสงคราม
สัมผัสบรรยากาศแบบถวิลหาอดีตที่อัมพวา กับงาน “อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2562” ร่วมลีลาศ รำวง และรับฟังบทเพลงไพเราะของสุนทราภรณ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป จากนั้นก็เริ่มนับถอยหลัง ร้องเพลง สวัสดีปีใหม่ แบบต้นฉบับ พร้อมชมการแสดงพลุ ดอกไม้ไฟฉลองวันขึ้นปีใหม่ และเริ่มกิจกรรมวันแรกของปี ในเช้าวันที่ 1 มกราคม 2562 ด้วยการทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2562 บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
7. Amazing Thailand Countdown 2019
จ.นครพนม
ร่วมเฉลิมฉลองต้อนรับศักราชใหม่ โดยมี Landmark เป็นหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ พร้อมรับชมการจุดพลุสวยงามริมแม่น้ำโขง พบกับการ การแสดงจากศิลปิน วงดนตรีในพื้นที่ / ขบวนพาเหรดโบโซ่ / พลุเฉลิมฉลองต้อนรับศักราชใหม่ และกิจกรรมมากมายบนเวที
8. ไอคอนสยาม, กรุงเทพ
ร่วมเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บริเวณคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ณ ไอคอนสยาม ชมการแสดงจากศิลปินไทย/จีน พร้อมชมการจุดพลุสุดอลังการความยาวกว่า 1,400 เมตร จำนวน 5 องค์ องค์ละ 6 นาที รวมทั้งสิ้น 30 นาที
9. เทศกาลเคาท์ดาวน์เชียงใหม่ 2562
จ.เชียงใหม่
ประตูท่าแพ สถานที่จัดงานปีใหม่ชื่อดังแห่งเมืองเหนือ นช่วงสัปดาห์ของเทศกาลจะมีการออกร้านค้าสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน ร้าน OTOP และร้านอาหารท้องถิ่นอร่อย ๆ มากมาย นอกจากนั้นก็จะมีการแสดงดนตรี การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา การแสดงของนักร้องชื่อดังต่าง ๆ และในคืนวันสุดท้ายแห่งปีก็จะมีการจุดพลุไฟเฉลิมฉลองอีกด้วย
10. ปีใหม่สากลชุมชนทุกเผ่า ชาวแม่ฮ่องสอน
จ.แม่ฮ่องสอน
เฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ในรูปแบบที่เป็นสากลของชนเผ่า บนพื้นฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประเพณีความเชื่อของผู้คนในท้องถิ่น ภายในงานจัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า การจำหน่ายสินค้าของชนเผ่า เช่น กะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ ลีซอ ไทใหญ่ ปะโอ ลัวะ และจีนยูนนาน โดยจะมีการจุดพลุฉลองปีศักราชใหม่ จากนั้นในช่วงเช้าวันที่ 1 มกราคม 2562 จะมีการทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์จำนวน 99 รูป
11. Khon Kaen Countdown 2019
จ.ขอนแก่น
Khon Kaen Countdown 2019 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ขอนแก่นมหานครแห่งสีสัน (Khon Kaen Colorful of Light 2019 ) ระหว่างวันที่ 25 – 31 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2562 ณ สวนประตูเมืองและบริเวณถนนศรีจันทร์ (ช่วงทางเข้าประตูเมือง) โดยเนรมิตพื้นที่ของสวนเรืองแสงให้เป็น Dome of Lighting ซึ่งสามารถกระจายแสงระยิบระยับ ด้วยระบบไฟดิจิตอล นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังมากมาย มหกรรมอาหารรสเลิศ และการจำหน่ายสินค้า DIY
12. งานปาร์ตี้ปีใหม่เกาะพะงัน
จ.สุราษฎร์ธานี
งานปาร์ตี้ปีใหม่เกาะพะงัน หรือ Full Moon Party จัดขึ้นที่หาดริ้น เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎ์ธานี โดยในทุกปีจะเริ่มจัดปาร์ตี้กันตั้งแต่วันคริสต์มาสและยาวไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่ ขณะเดียวกันก็จะมีการแสดงดนตรี การแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาด การแข่งขันซ็อกเกอร์ การประกวดชุดบิกินี่ การแสดงต่าง ๆ บนชายหาด อย่างโชว์ควงกระบองไฟ ควงโซ่ไฟ กระโดดเชือกไฟ สไลเดอร์ผ่านห่วงไฟ ฯลฯ ก่อนจะปิดท้ายลาปีเก่ากันด้วยพลุไฟปีใหม่ และแดนซ์กระจายกันทั้งคืน
13. Happy City Happy Countdown Suratthani 2019
จ.สุราษฎร์ธานี
Happy City Happy Countdown Suratthani 2018 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2561 – 1 มกราคม 2562 ณ ศาลหลักเมือง ริมเขื่อน แม่น้ำตาปี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายในงานมีกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี, ทำบุญตักบาตร, จำหน่ายสินค้าทำมือ, กิจกรรม ถนนคนกิน ถนน คนเดิน และอย่างพลาดกิจกรรม Countdown นับถอยหลังสู่ปีใหม่
14. เทศกาลรับตะวันใหม่ก่อนใครในสยาม
จ.อุบลราชธานี
ชมแสงอาทิตย์แรกของปี ก่อนใครในสยาม จากจุดที่เป็นตะวันออกสุดของประเทศ ณ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมร่วมพิธีต่อแสงตะวัน บริเวณลานผาแต้ม พิธีทำบุญตักบาตรรับปีใหม่บนผาชะนะได ท่องเที่ยวเส้นทางพระอาทิตย์ขึ้น และพิธีบวชต้นไม้ ณ ป่าดงนาทาม ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2561 – 1 มกราคม 2562
15. งานส่งตะวันและภูเก็ตเคาท์ดาวน์ 2562
จ.ภูเก็ต
ร่วมกันนับถอยหลังเพื่อส่งแสงพระอาทิตย์สุดท้ายของปี จากปลายแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายของประเทศที่เห็นพระอาทิตย์ตกดิน และยังมีกิจกรรมบันเทิง นิทรรศการ วงดนตรีต่าง ๆ ให้ได้สนุกกันอีกด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก : thaifest, Megabangna Shoppingcenter, Asiatique The Riverfront (เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์), Victoria Nimman Hotel, Nik Cyclist, Future Park Society, Zpell
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
((แชร์เลย)) ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน ชมทะเลหมอกหยอกล้อลมหนาว
ที่เที่ยวหน้าหนาวภาคอีสาน รวบรวมที่เที่ยวหน้าหนาวในภาคอีสานมาฝากกัน แต่ละสถานที่บอกได้เลยว่าธรรมชาติสวยงามมาก ๆ อยากสัมผัสกับประสบการณ์ท่องเที่ยวหน้าหนาวใหม่ ๆ ต้องลองไปสถานที่ท่องเที่ยวภาคอีสานกัน
หน้าหนาวเป็นช่วงเวลาที่คนไทยอยากออกไปท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะธรรมชาติของป่าเขาจะสวยงาม อากาศหนาวเย็น และบรรยากาศโรแมนติก ซึ่งแน่นอนว่าอากาศเย็นเมื่อไรหลายคนมักจะนึกถึงที่เที่ยวทางภาคเหนือ แต่เชื่อหรือไม่คะว่าทางแถบภาคอีสาน ก็มีแหล่งท่องเที่ยวหน้าหนาวที่สวยงามไม่แพ้ทางภาคเหนือเลยทีเดียว วันนี้เราจึงได้รวบรวมที่เที่ยวหน้าหนาวภาคอีสานมาฝากกัน เพื่อเป็นตัวเลือกการท่องเที่ยวหน้าหนาวใหม่ ๆ ที่จะทำให้คุณหลงรักอีสานมากยิ่งขึ้น
1. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ถ้าตามหาที่เที่ยวหน้าหนาวใกล้กรุงเทพฯ เขาใหญ่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ซึ่งสามารถจัดทริปแบบ 3 วัน 1 คืน หรือ 2 วัน 1 คืนได้อย่างสบาย ๆ จากกรุงเทพฯ สามารถขับไปได้เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น และยังมีแหล่งท่องเที่ยวรอบ ๆ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้ได้เที่ยวชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไร่องุ่น, สวนดอกไม้, ฟาร์มผักออแกนิกส์, ร้านอาหารบรรยากาศดี, เมืองจำลองสไตล์อิตาลี เป็นต้น สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ ไร่องุ่นพีบีวัลเล่ย์ เขาใหญ่, The Bloom เขาใหญ่, ปาลิโอ เขาใหญ่, ไลฟ์ปาร์ค เขาใหญ่, ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่, สวนซ่อนศิลป์, เขาใหญ่ พาโนรามา ฟาร์ม เป็นต้น
2. วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ถ้าใครชอบบรรยากาศของป่าเขา ชอบขับรถเล่นเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ บนเส้นทางท่องเที่ยววังน้ำเขียวถือว่าเหมาะมาก ๆ สองฟากฝั่งของถนนจะเต็มไปด้วยเนินภูเขาน้อยใหญ่ มีต้นไม้สีเขียวขจี สามารถเปิดกระจกหน้าต่างรถรับลมเย็น ๆ ได้อย่างสบายใจ อากาศจะสดชื่นบริสุทธิ์ ใครที่ชอบนอนเต็นท์แนะนำให้ไปพักผ่อนนอนเล่นแถว ๆ อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง บรรยากาศจะคล้ายกับสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว สถานที่ท่องเที่ยวในวังน้ำเขียวก็มีให้เลือกท่องเที่ยวหลากหลายแห่ง อาทิ ฟลอร่า ปาร์ค, A Cup of Love, เขาแผงม้าออร์คิด, เขาแผงม้า, วังน้ำเขียวฟาร์ม, มอนทาน่า ฟาร์ม, วิลเลจ ฟาร์ม แอนด์ ไวน์เนอรี่ เป็นต้น
3. ทุ่งกังหันลมห้วยบง จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ทุ่งกังหันลมห้วยบง ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโคราชเท่าไรนัก ตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มีกังหันทั้งหมด 90 ต้น ถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตพลังงานจากลมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงหน้าหนาวที่นี่จะมีความสวยงามและอากาศเย็นสบาย กังหันสีขาวจะหมุนวนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจี มีลมเย็น ๆ อากาศบริสุทธิ์พัดมาให้ได้สูดเข้าปอดตลอดเวลา บอกเลยว่าถ้าได้ไปเที่ยวสักครั้งจะต้องติดใจแน่นอน
4. มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
มอหินขาว แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์ ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา บ้านวังคำแคน หมู่ 9 ตำบลท่าหินโงม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ มีลักษณะเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ รูปร่างสวยงามแปลกตา ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอย่างโดดเด่น ในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมานอนกางเต็นท์มากมาย เพราะอากาศจะหนาวเย็นจับใจ ยามค่ำคืนจะมีดวงดาวให้ได้นอนนับกันไม่รู้เบื่อ ยิ่งช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณนี้จะมีความสวยงามมาก เพราะแสงแดดจะค่อย ๆ ส่องผ่านพ้นภูเขาแล้วมาสะท้อนกับก้อนหินเป็นสีเหลืองทอง เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจสุด ๆ
5. ภูกระดึง จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวอีสานที่ห้ามพลาดก็คือภูกระดึง เป็นยอดเขาที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบการปีนเขา เพราะนอกจากการเดินขึ้นเขาจะไม่โหดร้ายมากนักแล้ว บนยอดภูยังมีความสวยงาม เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลหมอกแล้ว ก็ยังมีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตกดินที่งดงามอีกด้วย นอกจากนี้บนภูกระดึงก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะเส้นทางน้ำตก ก็จะมีต้นเมเปิลผลัดใบเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง สีแดง สีส้มอย่างสวยงาม ถ้าอยากเห็นใบเมเปิลเปลี่ยนสีในเมืองไทย ก็ลุยไปเที่ยวภูกระดึงในหน้าหนาวนี้ได้เลย
6. ภูป่าเปาะ จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูป่าเปาะ ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เป็นจุดที่สามารถชมภูเขาฟูจิเมืองเลยหรือภูหอได้อย่างสวยงามที่สุด และยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย อีกทั้งที่นี่ยังมีอากาศหนาวเย็นในช่วงหน้าหนาว จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่นี่เหมาะจะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวหน้าหนาวที่น่าสนใจ นอกจากนี้ที่ภูป่าเปาะยังเต็มไปด้วยทุ่งดอกบัวตอง บรรยากาศรอบข้างจึงดูสวยงามโรแมนติก
7. เชียงคาน จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภาพจาก Suparat M/shutterstock.com
เชียงคาน เป็นอำเภอเล็ก ๆ ติดกับแม่น้ำโขง เป็นเมืองที่มีความเงียบสงบ เหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อน คุณจะได้ตื่นเช้ามามองสายหมอกที่ลอยละล่องอยู่บนแม่น้ำโขง พร้อมกับฟังเสียงสวดมนต์ที่ลอยข้ามมาจากทางฝั่งประเทศลาว ได้ใส่บาตรกับพระสงฆ์ที่เดินเรียงรายมาอย่างสง่างาม พร้อมกับการเดินเล่นไปบนถนนที่สองฝั่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนไม้เก่าแก่ และยังจะได้ขี่จักรยานตระเวนหาของกินอร่อย ๆ รอบ ๆ ชุมชน ยามค่ำคืนก็จะมีถนนคนเดินให้ได้เลือกซื้อของที่ระลึกพื้นเมือง ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย เที่ยวได้ทั้งครอบครัว
8. ภูเรือ จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อุทยานแห่งชาติภูเรือ อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเลยที่ได้รับความนิยมในช่วงหน้าหนาวค่อนข้างมาก เพราะบนยอดภูเรือนั้นมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางมากถึง 1,365 เมตร ทำให้อากาศบนยอดภูเรือหนาวเย็นจับใจ บางปียังมีปรากฏการณ์แม่คะนิ้งให้ได้เห็นกันอีกด้วย โดยบนยอดภูเรือจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกสุดอลังการได้อย่างสวยงาม มีลานกางเต็นท์ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันให้นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ภายในอุทยานยังมีจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
9. ภูทอก จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูทอก เป็นยอดเขาสูงในเขตอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย ในช่วงเช้าของหน้าหนาว หมอกจำนวนมากมายจะเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด จนปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้างเบื้องล่างที่อยู่ระหว่างเทือกเขาเบื้องหน้ากับภูทอก ไล่ไปจนถึงริมแม่น้ำโขงและบริเวณป่าของประเทศลาว พอพระอาทิตย์ค่อย ๆ ทอขึ้นเหนือยอดเขา แสงพระอาทิตย์ก็จะส่องลงสู่หมอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองทองสุดอบอุ่น อากาศก็หนาวเย็นได้ใจ เป็นภาพยามเช้าที่เพอร์เฟคท์สุด ๆ
10. เขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อำเภอเขมราฐ ก็เป็นอีกหนึ่งอำเภอที่มีความสวยงามและน่าเที่ยว บรรยากาศของเขมราฐจะคล้าย ๆ กับเชียงคาน มีบ้านเรือนไม้เก่าแก่ให้ได้เดินเที่ยวชม ในทุก ๆ เสาร์ที่ 2 และเสาร์สุดท้ายของเดือน ก็ยังมีการจัดถนนคนเดินให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง พร้อมกับชมการแสดงของชาวเขมราฐอีกด้วย ลองดูสิว่าการได้เที่ยวชมเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายมันจะฟินขนาดไหน :)
11. ผาชะนะได จังหวัดอุบลราชธานี
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ผาชะนะได ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวอุบลราชธานีที่ต้องไปเยือนกันให้ได้สักครั้ง เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และยังเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ก่อนใครในประเทศไทยอีกด้วย ตรงผาชะนะไดนักท่องเที่ยวจะได้มองเห็นวิวทะเลหมอกที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน และยังสามารถมองเห็นวิวของป่าเขาได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ข้ามไปถึงฝั่งประเทศลาวเลยทีเดียว โดยเฉพาะหน้าหนาวจุดนี้จะมีอากาศหนาวเย็นและวิวทิวทัศน์ก็สวยงามสุด ๆ ด้วยเช่นกัน
12. ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูห้วยอีสัน ตั้งอยู่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นยอดเขาไม่สูงมากนัก แต่กลับมีจุดชมวิวแม่น้ำโขงและทะเลหมอกที่สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะในหน้าหนาว นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทะเลหมอกสุดอลังการล่องลอยอยู่เหนือป่าไม้สีเขียว แม่น้ำโขง และมีภูเขาสีเขียวโอบล้อมต้อนอยู่ด้านหลัง อากาศค่อนข้างหนาวเย็น บรรยากาศเงียบสงบ เพราะยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก การขึ้นมาเที่ยวชมที่นี่ก็ต้องใช้บริการรถอีแต๊กของชาวบ้าน เป็นการท่องเที่ยวที่สุดจะเรียบง่าย แต่ประทับใจสุด ๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงที่เที่ยวหน้าหนาวอีสานบางส่วนเท่านั้น แต่แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าอีสานก็มีอะไรที่น่าเที่ยวไม่แพ้ภาคไหน ๆ ของประเทศไทยเลย และยังมีแหล่งท่องเที่ยวหน้าหนาวที่สวยงามเยอะแยะมากมายอีกด้วย หน้าหนาวปีนี้ก็ลองหันเหไปเที่ยวอีสานกันบ้างนะคะ :)
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2559
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
siemens.co.th, i-san.tourismthailand.org และ park.dnp.go.th
หน้าหนาวเป็นช่วงเวลาที่คนไทยอยากออกไปท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะธรรมชาติของป่าเขาจะสวยงาม อากาศหนาวเย็น และบรรยากาศโรแมนติก ซึ่งแน่นอนว่าอากาศเย็นเมื่อไรหลายคนมักจะนึกถึงที่เที่ยวทางภาคเหนือ แต่เชื่อหรือไม่คะว่าทางแถบภาคอีสาน ก็มีแหล่งท่องเที่ยวหน้าหนาวที่สวยงามไม่แพ้ทางภาคเหนือเลยทีเดียว วันนี้เราจึงได้รวบรวมที่เที่ยวหน้าหนาวภาคอีสานมาฝากกัน เพื่อเป็นตัวเลือกการท่องเที่ยวหน้าหนาวใหม่ ๆ ที่จะทำให้คุณหลงรักอีสานมากยิ่งขึ้น
1. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ถ้าตามหาที่เที่ยวหน้าหนาวใกล้กรุงเทพฯ เขาใหญ่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ซึ่งสามารถจัดทริปแบบ 3 วัน 1 คืน หรือ 2 วัน 1 คืนได้อย่างสบาย ๆ จากกรุงเทพฯ สามารถขับไปได้เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น และยังมีแหล่งท่องเที่ยวรอบ ๆ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้ได้เที่ยวชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไร่องุ่น, สวนดอกไม้, ฟาร์มผักออแกนิกส์, ร้านอาหารบรรยากาศดี, เมืองจำลองสไตล์อิตาลี เป็นต้น สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ ไร่องุ่นพีบีวัลเล่ย์ เขาใหญ่, The Bloom เขาใหญ่, ปาลิโอ เขาใหญ่, ไลฟ์ปาร์ค เขาใหญ่, ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่, สวนซ่อนศิลป์, เขาใหญ่ พาโนรามา ฟาร์ม เป็นต้น
2. วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ถ้าใครชอบบรรยากาศของป่าเขา ชอบขับรถเล่นเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ บนเส้นทางท่องเที่ยววังน้ำเขียวถือว่าเหมาะมาก ๆ สองฟากฝั่งของถนนจะเต็มไปด้วยเนินภูเขาน้อยใหญ่ มีต้นไม้สีเขียวขจี สามารถเปิดกระจกหน้าต่างรถรับลมเย็น ๆ ได้อย่างสบายใจ อากาศจะสดชื่นบริสุทธิ์ ใครที่ชอบนอนเต็นท์แนะนำให้ไปพักผ่อนนอนเล่นแถว ๆ อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง บรรยากาศจะคล้ายกับสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว สถานที่ท่องเที่ยวในวังน้ำเขียวก็มีให้เลือกท่องเที่ยวหลากหลายแห่ง อาทิ ฟลอร่า ปาร์ค, A Cup of Love, เขาแผงม้าออร์คิด, เขาแผงม้า, วังน้ำเขียวฟาร์ม, มอนทาน่า ฟาร์ม, วิลเลจ ฟาร์ม แอนด์ ไวน์เนอรี่ เป็นต้น
3. ทุ่งกังหันลมห้วยบง จังหวัดนครราชสีมา
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ทุ่งกังหันลมห้วยบง ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโคราชเท่าไรนัก ตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มีกังหันทั้งหมด 90 ต้น ถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตพลังงานจากลมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงหน้าหนาวที่นี่จะมีความสวยงามและอากาศเย็นสบาย กังหันสีขาวจะหมุนวนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจี มีลมเย็น ๆ อากาศบริสุทธิ์พัดมาให้ได้สูดเข้าปอดตลอดเวลา บอกเลยว่าถ้าได้ไปเที่ยวสักครั้งจะต้องติดใจแน่นอน
4. มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
มอหินขาว แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์ ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา บ้านวังคำแคน หมู่ 9 ตำบลท่าหินโงม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ มีลักษณะเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ รูปร่างสวยงามแปลกตา ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอย่างโดดเด่น ในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมานอนกางเต็นท์มากมาย เพราะอากาศจะหนาวเย็นจับใจ ยามค่ำคืนจะมีดวงดาวให้ได้นอนนับกันไม่รู้เบื่อ ยิ่งช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณนี้จะมีความสวยงามมาก เพราะแสงแดดจะค่อย ๆ ส่องผ่านพ้นภูเขาแล้วมาสะท้อนกับก้อนหินเป็นสีเหลืองทอง เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจสุด ๆ
5. ภูกระดึง จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวอีสานที่ห้ามพลาดก็คือภูกระดึง เป็นยอดเขาที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบการปีนเขา เพราะนอกจากการเดินขึ้นเขาจะไม่โหดร้ายมากนักแล้ว บนยอดภูยังมีความสวยงาม เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลหมอกแล้ว ก็ยังมีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตกดินที่งดงามอีกด้วย นอกจากนี้บนภูกระดึงก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะเส้นทางน้ำตก ก็จะมีต้นเมเปิลผลัดใบเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง สีแดง สีส้มอย่างสวยงาม ถ้าอยากเห็นใบเมเปิลเปลี่ยนสีในเมืองไทย ก็ลุยไปเที่ยวภูกระดึงในหน้าหนาวนี้ได้เลย
6. ภูป่าเปาะ จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูป่าเปาะ ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เป็นจุดที่สามารถชมภูเขาฟูจิเมืองเลยหรือภูหอได้อย่างสวยงามที่สุด และยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย อีกทั้งที่นี่ยังมีอากาศหนาวเย็นในช่วงหน้าหนาว จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่นี่เหมาะจะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวหน้าหนาวที่น่าสนใจ นอกจากนี้ที่ภูป่าเปาะยังเต็มไปด้วยทุ่งดอกบัวตอง บรรยากาศรอบข้างจึงดูสวยงามโรแมนติก
7. เชียงคาน จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภาพจาก Suparat M/shutterstock.com
เชียงคาน เป็นอำเภอเล็ก ๆ ติดกับแม่น้ำโขง เป็นเมืองที่มีความเงียบสงบ เหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อน คุณจะได้ตื่นเช้ามามองสายหมอกที่ลอยละล่องอยู่บนแม่น้ำโขง พร้อมกับฟังเสียงสวดมนต์ที่ลอยข้ามมาจากทางฝั่งประเทศลาว ได้ใส่บาตรกับพระสงฆ์ที่เดินเรียงรายมาอย่างสง่างาม พร้อมกับการเดินเล่นไปบนถนนที่สองฝั่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนไม้เก่าแก่ และยังจะได้ขี่จักรยานตระเวนหาของกินอร่อย ๆ รอบ ๆ ชุมชน ยามค่ำคืนก็จะมีถนนคนเดินให้ได้เลือกซื้อของที่ระลึกพื้นเมือง ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย เที่ยวได้ทั้งครอบครัว
8. ภูเรือ จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อุทยานแห่งชาติภูเรือ อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเลยที่ได้รับความนิยมในช่วงหน้าหนาวค่อนข้างมาก เพราะบนยอดภูเรือนั้นมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางมากถึง 1,365 เมตร ทำให้อากาศบนยอดภูเรือหนาวเย็นจับใจ บางปียังมีปรากฏการณ์แม่คะนิ้งให้ได้เห็นกันอีกด้วย โดยบนยอดภูเรือจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกสุดอลังการได้อย่างสวยงาม มีลานกางเต็นท์ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันให้นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ภายในอุทยานยังมีจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
9. ภูทอก จังหวัดเลย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูทอก เป็นยอดเขาสูงในเขตอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย ในช่วงเช้าของหน้าหนาว หมอกจำนวนมากมายจะเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด จนปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้างเบื้องล่างที่อยู่ระหว่างเทือกเขาเบื้องหน้ากับภูทอก ไล่ไปจนถึงริมแม่น้ำโขงและบริเวณป่าของประเทศลาว พอพระอาทิตย์ค่อย ๆ ทอขึ้นเหนือยอดเขา แสงพระอาทิตย์ก็จะส่องลงสู่หมอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองทองสุดอบอุ่น อากาศก็หนาวเย็นได้ใจ เป็นภาพยามเช้าที่เพอร์เฟคท์สุด ๆ
10. เขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
อำเภอเขมราฐ ก็เป็นอีกหนึ่งอำเภอที่มีความสวยงามและน่าเที่ยว บรรยากาศของเขมราฐจะคล้าย ๆ กับเชียงคาน มีบ้านเรือนไม้เก่าแก่ให้ได้เดินเที่ยวชม ในทุก ๆ เสาร์ที่ 2 และเสาร์สุดท้ายของเดือน ก็ยังมีการจัดถนนคนเดินให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง พร้อมกับชมการแสดงของชาวเขมราฐอีกด้วย ลองดูสิว่าการได้เที่ยวชมเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายมันจะฟินขนาดไหน :)
11. ผาชะนะได จังหวัดอุบลราชธานี
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ผาชะนะได ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวอุบลราชธานีที่ต้องไปเยือนกันให้ได้สักครั้ง เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และยังเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ก่อนใครในประเทศไทยอีกด้วย ตรงผาชะนะไดนักท่องเที่ยวจะได้มองเห็นวิวทะเลหมอกที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน และยังสามารถมองเห็นวิวของป่าเขาได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ข้ามไปถึงฝั่งประเทศลาวเลยทีเดียว โดยเฉพาะหน้าหนาวจุดนี้จะมีอากาศหนาวเย็นและวิวทิวทัศน์ก็สวยงามสุด ๆ ด้วยเช่นกัน
12. ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย
ที่เที่ยวหน้าหนาวอีสาน
ภูห้วยอีสัน ตั้งอยู่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นยอดเขาไม่สูงมากนัก แต่กลับมีจุดชมวิวแม่น้ำโขงและทะเลหมอกที่สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะในหน้าหนาว นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทะเลหมอกสุดอลังการล่องลอยอยู่เหนือป่าไม้สีเขียว แม่น้ำโขง และมีภูเขาสีเขียวโอบล้อมต้อนอยู่ด้านหลัง อากาศค่อนข้างหนาวเย็น บรรยากาศเงียบสงบ เพราะยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก การขึ้นมาเที่ยวชมที่นี่ก็ต้องใช้บริการรถอีแต๊กของชาวบ้าน เป็นการท่องเที่ยวที่สุดจะเรียบง่าย แต่ประทับใจสุด ๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงที่เที่ยวหน้าหนาวอีสานบางส่วนเท่านั้น แต่แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าอีสานก็มีอะไรที่น่าเที่ยวไม่แพ้ภาคไหน ๆ ของประเทศไทยเลย และยังมีแหล่งท่องเที่ยวหน้าหนาวที่สวยงามเยอะแยะมากมายอีกด้วย หน้าหนาวปีนี้ก็ลองหันเหไปเที่ยวอีสานกันบ้างนะคะ :)
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2559
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
siemens.co.th, i-san.tourismthailand.org และ park.dnp.go.th
วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2562
ไอเดียสุดเจ๋ง++ รีโนเวทตึกแถว 2 ชั้นครึ่งแบบดั้งเดิม สู่ตึกแถวสไตล์โมเดิร์นน่าอยู่ไม่เบา((แชร์เลย))
ตึกแถว 2 ชั้นครึ่ง ภายนอกดูเรียบง่าย เหมือนตึกทั่วไป แต่ภายในกลับถูกตกแต่งอย่างดี กลายเป็นตึกแถวดีไซน์ทันสมัย น่าอยู่ ดูกว้างขวาง สบายตา ไอเดียตกแต่งตึกแถวที่ไม่ธรรมดา
หากเลือกได้หลายคนก็อยากอยู่บ้านเดี่ยวกันมากกว่า แต่สำหรับคนงบน้อย ตึกแถว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นบ้านราคาประหยัดที่เราสามารถรีโนเวทใหม่ให้กลับมาน่าอยู่ได้ เช่นเดียวกับตึกแถวสีขาวหลังนี้ สภาพก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ต่างจากตึกแถวธรรมดาทั่วไป แต่หลังจาก HAO Design รีโนเวทใหม่ ก็กลายเป็นตึกแถวเรียบ เท่ ทันสมัย พร้อมกับการตกแต่งภายในที่น่าอยู่ไม่เบาเลย
บ้านหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 160 ตารางเมตร เดิมทีเป็นตึกแถว 2 ชั้นครึ่งแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นบ้านมีชั้นลอยอยู่ระหว่างชั้นล่างและชั้นบน จนกระทั่งสถาปนิกได้ทำการรีโนเวทใหม่ทั้งหลัง โดยออกแบบให้ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นและห้องครัว ส่วนชั้นลอยก็กลายเป็นห้องสมุดเล็ก ๆ ในขณะที่ชั้นบนก็ประกอบด้วยห้องนอนกับห้องน้ำแบบเปิด
ส่วนการตกแต่งภายในก็ทำได้น่าอยู่มาก เพราะเนื่องจากพื้นที่ใช้สอยไม่มาก อินทีเรียเลยตกแต่งด้วยสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ซึ่งช่วยพรางตาให้บ้านดูกว้างและมีบรรยากาศที่อบอุ่น และรู้สึกสบายตาด้วยต้นไม้เล็ก ๆ ที่ประดับอยู่รอบบ้าน ในขณะที่ด้านข้างก็มีหน้าต่างน้อย-ใหญ่สลับกันไปเกือบทั่วทั้งผนัง ซึ่งเป็นอีกจุดที่ทำให้ภายในไม่มืดทึบหรือคับแคบนั่นเอง
ไปดูกันได้เลยจะสวยแค่ไหน วันนี้เอามาฝากเพื่อนๆได้ดูไอเดียเจ๋งๆ สามารถนำไปตกแต่งให้อาคารบ้านเรือน เราดูสวยงามมากขึ้น เหมือนได้อยู่บ้านใหม่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก design-milk และ archdaily
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
((แชร์เลย)) สังเกตอาการไวรัส “โควิด-19” คู่มือกักตัวในที่พักอาศัย โดยกรมควบคุมโรค
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์ใน...

-
ตึกแถว 2 ชั้นครึ่ง ภายนอกดูเรียบง่าย เหมือนตึกทั่วไป แต่ภายในกลับถูกตกแต่งอย่างดี กลายเป็นตึกแถวดีไซน์ทันสมัย น่าอยู่ ดูกว้างขวาง สบาย...
-
รับออกแบบและติดตั้ง งานกระจก อลูมิเนียม : ประตูบานเลื่อน ประตูบานสวิง ประตูบานเปิด หน้าต่างบานเลื่อนพร้อมมุ้งลวด หน้าต่างบานเลื่อน ประตูบาน...
-
รับออกแบบและติดตั้ง งานกระจก อลูมิเนียม : ประตูบานเลื่อน ประตูบานสวิง ประตูบานเปิด หน้าต่างบานเลื่อนพร้อมมุ้งลวด หน้าต่างบานเลื่อน ประตูบาน...